การค้าไทย-สหรัฐฯ ไทย-จีน: ทางเลือก ทางรอด
โลกการค้าเปลี่ยนเร็ว! ไทยจะเลือกทางไหน และอยู่รอดอย่างไร? มาดูกัน

ภาพรวมของเกมการค้าโลก
สงครามการค้า ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และการแบ่งขั้วของห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ประเทศขนาดกลางอย่างไทยต้องคิดมากกว่าเดิม 10 เดือนแรกของปี 2568 ไทยยังคงเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากถึง 41,333 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนหนึ่งเพราะส่งออกสินค้าขั้นปลายที่มีมูลค่าเพิ่มสูงกว่า ขณะที่ขาดดุลการค้ากับจีน 53,987 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะนำเข้าสินค้าขั้นกลางและวัตถุดิบจำนวนมาก สะท้อนบทบาทที่แตกต่างของสองตลาด สหรัฐฯ คือปลายทางสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง ส่วนจีนคือฐานการผลิตและแหล่งนำเข้าสำคัญของไทย
บทบาทที่แตกต่างของสองมหาอำนาจ
สหรัฐฯ ตลาดคุณภาพสูงและกติกาเข้ม
สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย สินค้าที่เข้าไปได้ต้องผ่านมาตรฐานสูง ทั้งด้านเทคโนโลยี ความปลอดภัย และความยั่งยืน ขณะเดียวกัน การเกินดุลการค้าของไทยก็ทำให้ถูกจับตาภายใต้นโยบายการค้าของสหรัฐฯ จึงเริ่มเห็นความพยายามสร้างสมดุลผ่านกรอบเจรจา Reciprocal Trade ที่ครอบคลุมภาษี บริการ การลงทุน และเศรษฐกิจดิจิทัล
จีน ตลาดใหญ่ ต้นทุนต่ำ และการแข่งขันสูง
จีนเป็นคู่ค้าหลักของไทยมาอย่างยาวนาน ด้วยขนาดตลาดและบทบาทศูนย์กลางการผลิตโลก สินค้าไทยยังมีโอกาสในบางกลุ่ม แต่ต้องแข่งขันกับผู้ผลิตท้องถิ่นที่ต้นทุนต่ำและปรับตัวเร็ว ความท้าทายคือการใช้ตลาดจีนให้เกิดประโยชน์ โดยไม่บั่นทอนอุตสาหกรรมภายในประเทศ
กลุ่มสินค้าที่ไทยยังมีศักยภาพสูง
อาหารและเครื่องดื่ม: อาหารแปรรูป อาหารพร้อมรับประทาน และเครื่องดื่มสุขภาพ ตอบโจทย์เทรนด์ผู้บริโภคโลกที่เน้นความสะดวกและสุขภาพ
เกษตรพรีเมียม: ผลไม้คุณภาพสูงและข้าวหอมมะลิ ยังเป็นจุดแข็งที่ไทยมีภาพลักษณ์ระดับโลก
สินค้าอุตสาหกรรม: ยางพารา ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าในห่วงโซ่เทคโนโลยี
สุขภาพและความงาม: เครื่องสำอางจากธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เชื่อมโยง Wellness
ไลฟ์สไตล์และวัฒนธรรม: แฟชั่น งานหัตถกรรม และของตกแต่งบ้านที่มีอัตลักษณ์ไทย
ความเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
สงครามการค้า
มาตรการกีดกัน การพึ่งพาตลาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่ง มาตรฐาน ESG ที่เข้มงวดขึ้น
รวมถึงความผันผวนของค่าเงิน
และต้นทุนโลจิสติกส์
ล้วนเป็นแรงกดดันที่ผู้ส่งออกไทยต้องเผชิญพร้อมกัน
ทางเลือกเชิงยุทธศาสตร์ของไทย
ไม่เลือกข้าง แต่สร้างสมดุล ใช้ประโยชน์จากทั้งสองตลาด ควบคู่กับการกระจายความเสี่ยงไปยังอินเดีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา ใช้ FTA และ RCEP ให้เต็มศักยภาพ และเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ชิ้นส่วน EV และพลังงานสะอาด เพื่อเชื่อมเศรษฐกิจไทยเข้ากับเมกะเทรนด์โลก
ทางรอดของผู้ประกอบการไทย
การค้าออนไลน์ช่วยเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง
การสร้างแบรนด์และมาตรฐานสากลช่วยเพิ่มราคาและความยั่งยืน
การลงทุนในนวัตกรรมสีเขียวช่วยรับมือกติกาใหม่
และการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความยืดหยุ่น
มองไปข้างหน้า
โจทย์ของไทยไม่ใช่เลือกสหรัฐฯ หรือจีน แต่คือทำอย่างไรให้ไทย “ยืนอยู่ได้กับทั้งสองฝั่ง” พร้อมเสริมพลังจากภายในประเทศให้แข็งแรงพอจะรับแรงสั่นสะเทือนของโลกการค้าใหม่ เพราะผู้ที่อยู่รอดคือผู้ที่ปรับตัวได้ดีที่สุด
เรื่องและภาพ: ชนิยา ชัยพฤกษ์ Economist, Bnomics
════════════════
ที่มาเนื้อหาจาก.. Bnomics by Bangkok Bank