GULF- GUNKUL คว้าใบอนุญาตขายไฟฟ้ามากสุด
นักวิเคราะห์ชี้ ดันอัพไซด์ GULF เพิ่มอีก 2 บาท
จับตา! กกพ.รับซื้อเพิ่มอีก 3,668.5 MW

.
สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ประกาศผลการคัดเลือกโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน รอบ 5,203.0MW และโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม 100 MW โดยมีผู้ที่ได้รับคัดเลือกทั้งหมด 188 โครงการ กำลังผลิตรวม 4,952.3MW ฟากนักวิเคราะห์คงน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มโรงไฟฟ้า “มากกว่าตลาด” ให้ GULF และ SSP เป็น Top Picks
.
โดยแนะจับตาแรงเก็งกำไรในประเด็นของการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและขยะอุตสาหกรรมเพิ่มอีก 3,668.5 MW (มติ กพช. เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2566) โดยมีโอกาสสูงที่จะไม่มีการเปิดรับสมัครเพิ่มเติมและใช้รายชื่อเดิมในการคัดเลือก (คาด Timeline ของการรับซื้อจะมีความชัดเจนมากขึ้นในไตรมาส 2/66)
.
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการ สำนักงาน กกพ. เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา สำนักงาน กกพ. ได้ประกาศรายชื่อผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าที่ผ่านเกณฑ์คะแนนความพร้อมทางด้านเทคนิคขั้นต่ำ ตามเกณฑ์ผ่านหรือไม่ผ่าน (Pass/Fail Basis) ตามระเบียบ กกพ. ว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565 – 2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง
.
โดยผู้ผ่านการพิจารณาทั้งสิ้นรวม 386 ราย เพื่อเข้าสู่กระบวนพิจารณาคัดเลือก โดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในการประชุมครั้งที่ 17/2566 (ครั้งที่ 845) วันที่ 5 เมษายน 2566 ได้พิจารณาเห็นชอบรายชื่อผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าที่ได้รับการคัดเลือกตามระเบียบ กกพ. สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 ซึ่งมีผู้ผ่านการพิจารณาคัดเลือก จำนวน 175 ราย
.
สำหรับเชื้อเพลิงขยะอุตสาหกรรม ที่ผ่านมา สำนักงาน กกพ. ได้ประกาศรายชื่อผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าที่ผ่านเกณฑ์คะแนนความพร้อมทางด้านเทคนิคขั้นต่ำ ตามเกณฑ์ผ่านหรือไม่ผ่าน (Pass/Fail Basis) ตามระเบียบ กกพ. ว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565 – 2573 สำหรับขยะอุตสาหกรรม พ.ศ. 2565
.
ทั้งนี้มีผู้ผ่านการพิจารณา จำนวน 18 ราย โดย กกพ. ในการประชุมครั้งที่ 17/2566 (ครั้งที่ 845) วันที่ 5 เมษายน 2566 ได้พิจารณาเห็นชอบรายชื่อผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าที่ได้รับการคัดเลือกตามระเบียบ กกพ. สำหรับขยะอุตสาหกรรม พ.ศ. 2565 ซึ่งมีผู้ผ่านการพิจารณาคัดเลือก จำนวน 13 ราย ปริมาณเสนอขายรวม 100 เมกะวัตต์
.
โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า กกพ. ได้ประกาศผลการคัดเลือกโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบ 5,203 MW และโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม 100 MW โครงการที่ได้รับคัดเลือกสามารถแบ่งออกเป็น 1.โรงไฟฟ้าพลังงานลม 22 โครงการ (ขนาด SPP 20 โครงการและขนาด VSPP 2 โครงการ) กำลังผลิตรวม 1,490.2 MW
.
2.โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีระบบกักเก็บพลังงาน 24 โครงการ (เป็นขนาด SPP ทั้งหมด) กำลังผลิตรวม 994.1MW 3.โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน 129 โครงการ (ขนาด SPP 39 โครงการและขนาด VSPP 90 โครงการ) กำลังผลิตรวม 2,368 MW
.
และ 4.โรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม 13 โครงการ (ขนาด VSPP ทั้งหมด) กำลังผลิตรวม 100MW โดยกฟผ. จะมีการแจ้งให้ผู้ยื่นเสนอขายไฟฟ้ารับทราบผลและยอมรับเงื่อนไขเพื่อลงนามในสัญญา PPA ภายในวันที่ 19 เม.ย. ในลำดับถัดไป (ขั้นตอนสุดท้ายของการรับซื้อไฟฟ้ารอบปัจจุบัน)
.
จากการตรวจสอบเบื้องต้นบริษัทในกลุ่มโรงไฟฟ้าภายใต้ Coverage ของฝ่ายวิจัยที่ได้กำลังผลิตเพิ่มจากการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบดังกล่าวมากที่สุดคือ GULF ซึ่งได้รับกำลังผลิตไม่ต่ำกว่า 1,166.2MW (โครงการลม 622.0MW และโครงการแสงอาทิตย์ที่มีระบบกักเก็บพลังงาน 544.2MW ขณะที่กำลังผลิตจากโครงการแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินที่ได้รับคัดเลือกอยู่ระหว่างการตรวจสอบ)
.
ตามมาด้วย GUNKUL ซึ่งได้รับกำลังผลิต 832.4MW (โครงการลม 180MW, โครงการแสงอาทิตย์ที่มีระบบกักเก็บ พลังงาน 83.6MW และโครงการแสงอาทิตย์ 568.8MW) โรงไฟฟ้าขนาดกลาง-เล็กที่ได้รับกำลังผลิตเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญได้แก่ SSP ซึ่งได้รับกำลังผลิตจำนวน 170.5 MW (โครงการลม 16MW, โครงการ แสงอาทิตย์ 154.5MW)
.
ในส่วนของโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม ผู้ที่ได้รับกำลังผลิตมากที่สุดคือ ETC ซึ่งได้รับคัดเลือกจำนวน 80 MW (ได้รับคัดเลือกทั้ง 10 โครงการที่มีการเสนอขาย)
.
ดังนั้นคงน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มโรงไฟฟ้า “มากกว่าตลาด” ให้ GULF (ราคาเป้าหมาย 62.25 บาท) และ SSP (ราคาเป้าหมาย 14.40 บาท) เป็น Top Picks สำหรับการลงทุนในประเด็นของการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดย GULF เป็นบริษัทฯที่ได้รับกำลังผลิตเพิ่มมากที่สุด (มี Upside จากกำลังผลิตใหม่ราว 1.50-2.00 บาท/หุ้น) รวมถึงมีกำไรและฐานทุนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มฯ
.
ขณะที่ SSP ได้รับกำลังผลิตใหม่ราว 73% เทียบกับกำลังผลิตที่มีอยู่เดิมคิดเป็น Upside ราว 1.80-2.00 บาท/หุ้น (ไม่รวม Price Dilution จากหุ้นปันผลราว 9%) ทำให้หุ้นมีโอกาสฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง
.
ขณะที่ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าภายใต้ Coverage ของฝ่ายวิจัยได้มีการปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 0.9%เคลื่อนไหวได้ดีกว่า SET Index ที่ปรับตัวลง 2.9% จากแรงเก็งกำไรผลการคัดเลือกโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ทำให้ในช่วงสั้นมีโอกาสที่จะเกิดแรงขายทำกำไร สำหรับหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าหลังประเด็นดังกล่าวมีความชัดเจน (Sell on Fact)
.
อย่างไรก็ตามมองว่าในระยะกลาง หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ายังมีโอกาสที่จะเคลื่อนไหวได้ดีกว่าตลาดเนื่องจาก Recession Fear และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield)ระยะ 10 ปี ในไทยและสหรัฐฯที่ปรับตัวลงจะส่งผลให้เกิดการ Re-rate PER ของกลุ่มโรงไฟฟ้า (เป็นแหล่งพักเงินในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน)
.
อีกทั้งแรงเก็งกำไรในประเด็นของการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและขยะอุตสาหกรรมเพิ่มอีก 3,668.5 MW (มติ กพช. เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2566) โดยมีโอกาสสูงที่จะไม่มีการเปิดรับสมัครเพิ่มเติมและใช้รายชื่อเดิมในการคัดเลือก (คาด Timeline ของการรับซื้อจะมีความชัดเจนมากขึ้นในไตรมาส 2/66)