ห้องเม่าปีกเหล็ก

‘ไพบูลย์’ หนุนหุ้นไทยสู่ดิจิทัล

โดย หญิงแม้น
เผยแพร่ :
59 views

‘ไพบูลย์’ หนุนหุ้นไทยสู่ดิจิทัล แนะทุกฝ่ายเตรียมพร้อมหลัง AI มีบทบาทมากขึ้น

“ไพบูลย์” แนะ “ตลาดทุนไทย” เตรียมความพร้อมเข้าสู่ยุคดิจิทัล หลังเทคโนโลยี “เอไอ” เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ย้ำอนาคตแข่งที่ “ความเร็ว” ยอมรับตลาดหุ้นไทยยังล้าหลังประเทศพัฒนาแล้ว เหตุต่างชาติมีหลายตลาดหุ้น ทั้งยังใช้โปรแกรมเทรดดิ้งเป็นหลัก

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวในงานสัมมนา “หลักสูตร Digital Transformation For CEO#2” ที่จัดขึ้นโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจและฐานเศรษฐกิจ ภายใต้หัวข้อเรื่อง “ตลาดทุนไทย ในโลกยุคใหม่”ว่า ตลาดทุนไทยในโลกอนาคตจะเข้าสู่ยุคดิจิทัลเหมือนกับตลาดทุนโลก เนื่องจากคาดว่าเทคโนโลยีและระบบปัญญาประดิษฐ์(AI) จะเข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงมีการแข่งขันด้านความเร็วในการส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์(ออเดอร์) ที่จะมีบทบาทที่สำคัญมากขึ้นในอนาคต

เขากล่าวว่า วิวัฒนาการของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน ถือว่ายังล้าหลังจากตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้วค่อนข้างมาก เนื่องจากปัจจุบันตลาดหุ้นต่างประเทศมีความหลากหลายของตลาดที่มากกว่าตลาดหุ้นไทย โดยปัจจุบันประเทศสหรัฐฯ มีตลาดหุ้นมากกว่า 60-70 ตลาด ขณะที่ประเทศไทยมีเพียงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)เพียงแห่งเดียว จึงทำให้การพัฒนาทำได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น

“มองว่าไทยควรจะมีหลายๆ ตลาดเหมือนในต่างประเทศ เพราะจะได้เกิดการแข่งขันในการพัฒนาอย่างที่ควรเป็น ซึ่งปัจจุบันหลักเกณฑ์ก็เปิดให้ทำได้แล้ว แต่ปัจจุบันตลท.ยังมีความได้เปรียบจากการซื้อขายในตลาดหุ้นที่ไม่ต้องเสียภาษี แตกต่างจากต่างประเทศที่ทุกตลาดต้องเสียภาษีกันหมด จึงทำให้การจัดตั้งตลาดใหม่ๆน่าจะเกิดขึ้นได้ยากเพราะคิดว่ายังเสียเปรียบอยู่”

ขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศได้เข้าสู่ยุคการใช้โปรแกรมเทรดดิ้งในการซื้อขายหลักทรัพย์กันอย่างแพร่หลายซึ่งปัจจุบันมีการทำธุรกรรมในลักษณะดังกล่าวกว่า 80% ของมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งหมด ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังมีสัดส่วนการซื้อขายโดยโปรแกรมเทรดดิ้งเพียง 20-25% รวมถึงในสัดส่วนดังกล่าว ส่วนใหญ่ยังเป็นออเดอร์จากนักลงทุนต่างประเทศเป็นหลัก โดยคาดว่าในอนาคตสัดส่วนการใช้โปรแกรมซื้อขายหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 99% ของยอดการซื้อขายโดยรวมทั้งหมด

นอกเหนือจากการพัฒนาโปรแกรมเทรดหุ้นแล้ว พบว่า ในต่างประเทศยังมีการแข่งขันเรื่องความเร็วในการส่งคำสั่งซื้อขายไปยังตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งถือว่าโลกแห่งอนาคตในส่วนของความเร็วจะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากทำให้มีความได้เปรียบกว่ารายอื่นๆ เพราะส่งคำสั่งซื้อที่ดักออเดอร์ของนักลงทุนรายอื่นได้ จึงทำให้ตลาดหุ้นหลายประเทศหันมาให้ความสำคัญเรื่องการแข่งขันด้านการส่งคำสั่งการซื้อขายที่ใช้ความเร็วในการส่งออเดอร์มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีบางตลาดได้มีการตั้ง ‘สปีดบั๊ม’ เข้ามาจำกัดความเร็วในการส่งออเดอร์การซื้อขายเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันของนักลงทุนทั้งหมด และทำให้ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ โดยปัจจุบันหลายๆ ตลาดก็กำลังพยายามที่จะทำในรูปแบบดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่นักลงทุนไม่สามารถแข่งขันในเรื่องของความเร็วในการซื้อขายได้ ก็หันมาใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการแข่งขันการซื้อขายแทน ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันระบบยังมีประสิทธิภาพเข้าขั้นสูงสุด แต่ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า โปรแกรมเหล่านี้จะสามารถชนะนักลงทุนที่เป็นตัวบุคคลได้อย่างแน่นอน

“มองว่าในอนาคตตลาดทุนบ้านเราจะเปลี่ยนแปลงไปเหมือนกับตลาดในต่างประเทศ ที่กำลังเข้าสู่ยุคดิจิทัล ขณะที่ตลาดทุนจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับตลาดเงินที่จะมีขนาดเล็กลง ซึ่งรูปแบบในต่างประเทศตลาดทุนมีขนาดใหญ่มากกว่าตลาดเงินมากแล้ว เพราะบริษัทส่วนใหญ่เน้นการเข้าระดมทุนในตลาดทุนมากกว่าการกู้ยืมเงินจากแบงก์เนื่องจากมีต้นทุนที่ต่ำกว่า นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของเราก็เริ่มมีแนวคิดในเรื่องของสปีดบั๊ม เพาะเทรนการใช้โปรแกรมเทรดที่มีความเร็วสูงเริ่มมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

นายไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกๆ ที่เริ่มมีแนวคิดในการพัฒนาระบบตลาดทุนสู่รูปแบบดิจิทัล โดยที่ผ่านมาก.ล.ต. เริ่มมีการผลักดัน การทำระบบโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในตลาดทุนไทยโดยเริ่มต้นจากการซื้อขายหุ้นกู้ก่อน ขณะที่คาดว่าในอนาคตจะขยายไปยังผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของตลาดทุนไทย รวมถึงจะมีการจัดทำรูปแบบเงินที่เป็นโทเคน ซึ่งจะช่วยทำให้ระบบการชำระราคาจากปัจจุบันที่เป็น T+2 มีความรวดเร็วขึ้น หรือทำได้ทันที (T+0)

“รูปแบบดังกล่าวเป็นการแลกหุ้นหรือเงินโดยใช้โทเคน ซึ่งจะส่งผลทำให้ประสิทธิภาพในการดำเนินการสะดวกรวดเร็วมากขึ้น ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็มีการหารือกันในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นประเทศแรกๆ ที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าว เพราะปัจจุบันยังไม่มีประเทศไหนทำในเรื่องนี้”

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


 

 

 

 

หญิงแม้น