ธุรกิจแบงก์ พลิกวิกฤติโควิด-19 เป็นโอกาส
สิ้นสุดไตรมาส 3 ของปี 2019 แล้ว สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ยังลุกลามต่อเนื่อง พลเมืองโลกมีผู้ติดเชื้อทะลุ 30 ล้านคน เมื่อกลางเดือนกันยายน และมีแนวโน้มว่าจะได้เห็นสถิติแตะ 50 ล้านคน ก่อนปิดฉากปีนี้ หากการนำวัคซีนป้องกันโควิดยังล่าช้า
เมื่อเศรษฐกิจโลกยังต้องเผชิญกับโรคระบาดอย่างยืดเยื้อ ธุรกิจต่างๆ ย่อมได้รับผลกระทบตามมาอย่างทั่วถึง จากมาตรการของรัฐบาลในแต่ละประเทศที่จำเป็นต้องควบคุมโรคระบาดอย่างเฉียบขาด โดยเฉพาะการล็อกดาวน์พื้นที่เสี่ยงในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม ซึ่งมีผลทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและธุรกิจต้องชะงักงัน ก่อให้เกิดความเสียหายในภาคธุรกิจหลากหลายประเภททั้งทางตรงและทางอ้อม
เป็นที่น่าสังเกตว่า สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่มีการระบาดของโควิดอยู่ในระดับร้ายแรง โดยมีผู้ติดเชื้อจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ย่อมหนีไม่พ้นที่ภาคธุรกิจต่างๆ จะได้รับความเดือดร้อนสาหัส และมีคนว่างงานเพิ่มสูงขึ้นด้วย แต่ปรากฏว่า ธุรกิจการเงินการธนาคารสหรัฐฯ กลับเป็นภาคธุรกิจที่มีผลงานค่อนข้างน่าพอใจ เมื่อเทียบกับภาคธุรกิจอื่นๆ ในรอบครึ่งปีแรกของปี 2019 ท่ามกลางวิกฤติโควิด-19
ปัจจัยสำคัญมาจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (The Federal Reserve : The Fed) ที่ออกมาตรการช่วยเหลือเศรษฐกิจและการเงินในประเทศอย่างว่องไว เมื่อโรคระบาดเริ่มคุกคามประเทศอย่างชัดเจน โดยออกมาตรการซื้อพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ต่างๆ รวมถึงการให้สัญญาว่าจะซื้อหลักทรัพย์และตราสารหนี้ของภาคเอกชนด้วย เพื่อรักษาสภาพคล่องในระบบการเงินและเศรษฐกิจ นับเป็นการส่งสัญญาณช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม
ผลที่ตามมาก็คือ ราคาหุ้นและพันธบัตรในตลาดขานรับข่าวดี และพากันดีดตัวเพิ่มขึ้นเป็นระยะๆ ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัทสหรัฐฯที่เผชิญความเสียหายจากโควิด และขาดแคลนสภาพคล่อง ก็ได้มีโอกาสระดมทุนด้วยการออกพันธบัตร หรือออกหุ้นเพิ่มเติม ด้วยเหตุนี้ ธนาคารชั้นนำสหรัฐฯ โดยเฉพาะธนาคารที่มีบริการนายหน้าค้าหลักทรัพย์และค้ำประกันการออกหุ้น ก็ล้วนได้รับค่าตอบแทนอย่างเป็นกอบเป็นกำ อาทิ Goldman Sachs ซึ่งเป็นธนาคารเพื่อการลงทุนล้วนๆ มีรายได้จากธุรกรรมการค้าหลักทรัพย์ในไตรมาสที่ 2 เพิ่มขึ้นราว 41% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เป็นต้น
แม้แต่ธนาคารในยุโรป ก็ได้รับผลดีในลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยธนาคารที่มีธุรกรรมและให้บริการการค้าหลักทรัพย์จะได้รับอานิสงส์จากความคึกคักของตลาด เพราะนักลงทุนและนักธุรกิจ จะฉวยโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยต่ำมากในยุโรป ประกอบกับมาตรการช่วยเหลือต่างๆ ของธนาคารกลางยุโรป (The European Central Bank : ECB) พากันออกหุ้นหรือตราสารหนี้เพื่อระดมทุนอย่างมาก ดังนั้น ธนาคารชั้นนำยุโรปบางแห่ง จึงได้รับผลดีจากรายได้หรือค่าธรรมเนียมจากการค้าหลักทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมา เช่น BNP Paribas ธนาคารใหญ่สุดในฝรั่งเศส มีรายได้จากธุรกรรมการค้าหลักทรัพย์ต่างๆ เพิ่มขึ้นในไตรมาส 2 ประมาณ 154% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นักวิเคราะห์ประเมินว่า ในช่วงตั้งแต่ต้นปีที่มีการระบาดของโรคโควิด คาดว่ามีการระดมทุนในรูปแบบต่างๆ ในตลาดการเงินและตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกไปแล้ว คิดเป็นมูลค่าราว 5.4 ล้านล้านดอลลาร์ สะท้อนว่า สถาบันการเงินน่าจะได้รับส้มหล่นจากมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐในแต่ละประเทศมากน้อยแตกต่างกันไป
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจแบงก์ทั้งในสหรัฐฯและยุโรป ใช่ว่าจะได้รับผลดีจากโควิดตลอดไป เพราะคาดกันว่าในช่วงครึ่งปีหลัง 2020 สถานการณ์จะเปลี่ยนแปลง เนื่องจากธุรกิจส่วนใหญ่ได้มีการระดมทุนกันอย่างเพียงพอแล้ว อาจทำให้ตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรคลายความคึกคักลง ยิ่งไปกว่านั้น ธนาคารต่างๆ ต้องมีการตั้งสำรองหนี้สูญเพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งจะมีผลกระทบต่อผลประกอบการโดยตรง
ทั้งนี้ ธุรกิจต่างๆ และครัวเรือนที่เคยได้รับการผ่อนผันจากมาตรการพักชำระหนี้สินในช่วงครึ่งแรกของปี คาดว่าจะครบกำหนดระยะเวลาผ่อนผันแล้ว และส่งผลให้ธนาคารทั้งหลายจำเป็นต้องประเมินสถานะของลูกหนี้อย่างรอบคอบ
โดยทั่วไป ธนาคารสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะตั้งยอดสำรองหนี้สูญไว้ค่อนข้างสูง เช่น ธนาคารชั้นนำสหรัฐฯ 4 แห่ง ได้แก่ JPMorgan Chase, Citigroup, Wells Fargo และ Goldman Sachs ได้ตั้งยอดสำรองฯรวมกันไว้ราว 20,000 ล้านดอลลาร์ ในช่วงไตรมาสแรก และเพิ่มเป็น 30,000 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาสที่ 2 รวมถึงการเพิ่มยอดสำรองฯในไตรมาสถัดๆ ไป ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจในระบบการเงินการธนาคารของตน และด้วยกฎระเบียบเคร่งครัดของทางการสหรัฐฯ ทำให้ระบบแบงกิ้งอเมริกาค่อนข้างมั่นคงในระดับหนึ่ง
แต่ถึงกระนั้น การตั้งสำรองหนี้สูญเป็นจำนวนมาก ย่อมทำให้ผลกำไรของธนาคารถดถอยลง ทั้งนี้ บรรดาแบงเกอร์คาดว่า หากเศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัวเป็นลำดับในช่วงครึ่งปีหลัง ก็อาจทำให้กิจกรรมทางธุรกิจต่างๆ ขับเคลื่อน และเป็นผลดีแก่ภาคการเงินการธนาคารของประเทศต่อไป ปัจจุบัน ธนาคารสหรัฐฯทั้งระบบ คาดว่าจะมีเงินกองทุนรวมกันเป็นมูลค่าราว 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่ามั่นคงปลอดภัย ถึงแม้ในช่วงท้ายของปีนี้ หากเศรษฐกิจสหรัฐฯจะยังอยู่ในวังวนโควิดก็ตาม
ทางด้านยุโรป สถานการณ์ธนาคาร น่าจะดูอึมครึมกว่าสหรัฐฯมาก ถึงแม้การดำเนินมาตรการต่างๆ อาจคล้ายคลึงกัน เช่น การตั้งสำรองหนี้สูญในช่วงที่เหลือของปีนี้ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและธุรกิจ เป็นต้น โดยทั่วไป การตั้งสำรองฯของแบงก์ยุโรปจะมีมูลค่าน้อยกว่าในสหรัฐฯ โดยให้เหตุผลว่าการปล่อยกู้ต่างๆ ในยุโรปมีความเสี่ยงต่ำกว่า เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นการปล่อยกู้โดยใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันจำพวกอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น ปัญหาหนี้เสียแท้จริงจึงมีน้อยกว่า และเมื่อเศรษฐกิจกระเตื้องขึ้น โอกาสหนี้สินเหล่านั้น ก็มักจะได้รับการแก้ไขสู่ภาวะปกติในที่สุด
ถึงแม้ธนาคารยุโรปจะมีการตั้งสำรองหนี้สูญน้อยกว่าแบงก์สหรัฐฯ แต่ปรากฏว่า ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ผลประกอบการของธนาคารยุโรป กลับไม่ค่อยสดใสเท่าที่ควร ยกเว้นแบงก์ที่มีธุรกรรมการค้าหลักทรัพย์อย่างจริงจัง ที่สามารถประคับประคองผลประกอบการโดยรวมไว้ได้ในเกณฑ์บวก ทั้งนี้ ธนาคารชั้นนำยุโรปที่มีการตั้งสำรองหนี้สูญและมีผลประกอบการย่ำแย่ เช่น Deutsche Bank ของเยอรมนี Santander แห่งสเปน และ Societe Generale ของฝรั่งเศส เป็นต้น
นักวิเคราะห์มองว่า ธนาคารในยุโรป มีปัญหาเรื้อรังมายาวนาน ก่อนวิกฤติโควิดเสียอีก โดยเฉพาะปัญหาความสามารถในการทำกำไร หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ผลประกอบการของแบงก์ยุโรปดูด้อยกว่าแบงก์ของชาติอุตสาหกรรมชั้นนำอื่นๆ เช่น เมื่อต้นปี 2020 ธนาคารในยุโรปมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นเฉลี่ยประมาณ 6% ซึ่งต่ำกว่าแบงก์สหรัฐฯครึ่งหนึ่ง เป็นต้น
นักลงทุนตระหนักถึงจุดอ่อนของแบงก์ยุโรปเป็นอย่างดี สะท้อนได้จากการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารในยุโรป ซึ่งไม่ค่อยหวือหวาเท่าใดนัก การค้าหุ้นแบงก์ยุโรป มักจะต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีราว 50% ในทางตรงกันข้าม การค้าหุ้นแบงก์สหรัฐฯ จะสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีประมาณ 60-70% ด้วยเหตุนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มแบงก์ยุโรป หรือ Stoxx Europe 600 Banks Index จึงได้ปรับลดลงประมาณ 36% ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เทียบกับดัชนีหุ้นยุโรปทั่วไป หรือ Stoxx Europe 600 Index ที่ลดลงราว 12%
แบงก์ยุโรปเร่งรัดปฏิรูปก่อนสาย
วิกฤติโควิด-19 นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้แวดวงธนาคารยุโรป จำเป็นต้องกระตือรือร้นดำเนินการปฏิรูปธนาคารอย่างเร่งด่วนและจริงจัง เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจกลุ่มยูโรเปราะบางและไม่ค่อยแน่นอน อาจเผชิญภาวะเลวร้ายกว่าที่ผ่านมา โดยในไตรมาสที่ 2 การเติบโตทางเศรษฐกิจกลุ่มยูโรประสบภาวะถดถอย ด้วยอัตราติดลบราว 12% และคาดว่าเมื่อสิ้นสุดปี 2020 น่าจะติดลบไม่ต่ำกว่า 8% ทั้งนี้ สัญญาณที่ไม่สดใส มาจากการระบาดโควิด ยังคงปะทุซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประเทศสำคัญๆ เช่น ฝรั่งเศส สเปน เยอรมนี เป็นต้น ทำให้ทางการต้องมีการใช้มาตรการจำกัดพื้นที่บริเวณการทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นระยะๆ ล้วนส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของธุรกิจและเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในที่สุด ก็ย่อมส่งผลเสียต่อภาคธุรกิจการเงินการธนาคาร
ด้วยสถานการณ์โควิดและเศรษฐกิจที่ยังผันผวน จึงทำให้ธนาคารในยุโรป ได้ลงมือปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ โดยบางธนาคารฉีกรูปแบบเดิมทิ้ง หรือบางแห่งปรับลดขั้นตอนการบริหารจัดการภายในธนาคาร รวมถึงการปรับกลยุทธ์มุ่งสู่ตลาดในประเทศเป็นสำคัญ เป็นต้น
ยกตัวอย่าง ธนาคารชั้นนำยุโรป ที่ได้ประกาศการปรับตัวครั้งใหม่ อาทิ HSBC แบงก์ยักษ์ใหญ่สุดในยุโรป ในแง่มูลค่าสินทรัพย์ จำเป็นต้องทบทวนยุทธศาสตร์แบงก์ เนื่องจากผลกำไรหลังหักภาษีในไตรมาส 2 ลดลงถึง 88% จากช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน นาย Noel Quinn หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงคนใหม่ของ HSBC จึงผลักดันให้องค์กรเน้นกลุ่มธุรกิจในตลาดที่ธนาคารสร้างผลกำไรได้เป็นอย่างดี ซึ่งได้แก่ ตลาดเอเชีย ขณะเดียวกัน ตลาดยุโรปและตลาดสหรัฐฯ ซึ่งมีผลประกอบการไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ได้มีการปรับลดพนักงานในสองตลาดนี้ค่อนข้างชัดเจน คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 35,000 ตำแหน่ง จากพนักงานทั้งหมดของ HSBC ราว 235,000 คน รวมถึงจะมีการพิจารณาปิดสาขาบางส่วนในตลาดยุโรปและสหรัฐฯด้วย
นอกจากนี้ CEO Quinn ยังได้ดึงตัวนาย John Hinshaw อดีตหัวหน้าเจ้าหน้าที่ระดับสูงทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของบริษัท Verizon Wireless และ Boeing Co ให้มาร่วมงานกับ HSBC เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะการพัฒนาธนาคารสู่ระบบออนไลน์แบงกิ้งและดิจิทัลแบงกิ้งอย่างเต็มรูปแบบ เพราะวิกฤติโควิด-19 ได้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของเทคโนโลยีกับระบบธนาคารอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
สำหรับแบงก์เนเธอร์แลนด์ ABN Amro ซึ่งถือว่าเป็นธนาคารชั้นแนวหน้าอีกแห่งหนึ่งของยุโรป มีเครือข่ายสาขากว้างขวางทั่วโลก ปรากฏว่า CEO คนใหม่ นาย Robert Swaak ประกาศชัดเจนว่า ยุทธศาสตร์แบงก์แบบเก่าที่ยังคงรักษาตลาดและธุรกิจดั้งเดิมไว้ คงต้องมีการปรับเปลี่ยนแล้ว ในอดีต ABN Amro มีเครือข่ายมากมาย ตามทวีปที่อาจเคยเป็นอาณานิคมมาก่อน และเน้นการให้บริการประเภทสินเชื่อทางการค้าและสินเชื่อกลุ่มบริษัทเป็นสำคัญ
แต่ขณะนี้ ABN Amro จะเน้นตลาดในยุโรปแทน และจะสร้างให้ธนาคารเป็น “The Best Dutch Bank” โรคระบาดโควิดที่แพร่กระจายไปทั่วโลก ได้ส่งผลเสียหายทางเศรษฐกิจและธุรกิจในประเทศต่างๆรอบโลก รวมถึงธุรกิจ ABN Amro ด้วย ดังนั้น ยุทธศาสตร์ที่เคยมองกว่าการออกไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยง ถือว่าใช้ไม่ได้ผลท่ามกลางการระบาดของโรคร้าย ธนาคารจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินงานใหม่ ด้วยการถอนตัวออกจากตลาดและธุรกิจดั้งเดิมในต่างประเทศ เพื่อลดค่าใช้จ่ายของธนาคาร
หันมาดูธนาคารชั้นนำฝรั่งเศส เช่น BNP Paribas SA และ Societe Generale ก็กำลังพิจารณาลดธุรกรรมในตลาดต่างประเทศเช่นกัน โดยจะมุ่งเน้นตลาดภายในประเทศ และ ประเทศเพื่อนบ้านยุโรปแทนอังกฤษ ซึ่งอยู่ในกระบวนการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการ ทำให้ธนาคารชั้นนำ เช่น Barclays PLC ต้องรีบปรับปรุงกระบวนการทำงาน โดยเฉพาะกำลังโดนกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคารให้รีบเปลี่ยนยุทธศาสตร์การดำเนินงานอย่างเร่งด่วน โดยยุติธุรกรรมด้านธนาคารเพื่อการลงทุน
ซึ่ง CEO Jes Staley เคยกล่าวในที่ประชุมผู้ถือหุ้นว่า การที่ Barclays ยังมีบริการธนาคารเพื่อการลงทุน ได้ส่งผลดีที่ช่วยให้ผลประกอบการไตรมาส 2 ยังพอมีผลกำไรจากกลุ่มธุรกรรมดังกล่าว และชดเชยความเสียหายจากธุรกรรมอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ยังเห็นว่าธุรกรรมเกี่ยวกับธนาคารเพื่อการลงทุนไม่เหมาะสมกับ Barclays ในระยะยาว เนื่องจากโครงสร้างลูกค้าของธนาคารไม่เอื้ออำนวย เฉกเช่นแบงก์ชั้นนำสหรัฐฯ
ส่วนกลุ่มธนาคารชั้นนำสวิส ได้แก่ UBS Group AG และ Credit Suisse Group AG ได้เน้นการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารงานของธนาคารเป็นสำคัญ เพื่อลดขั้นตอนลง และตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อสงวนเงินเหล่านั้นมาลงทุนด้านเทคโนโลยีแก่ธนาคารมากขึ้น ธนาคารทั้งสองเปิดเผยว่า ธุรกิจแบงก์ไม่ค่อยไม่รับผลกระทบจากโควิดมากนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะธนาคารมีการดูแลสินเชื่อเป็นอย่างดี จึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องคุณภาพหนี้
อีกทั้ง ธุรกรรมของธนาคารสวิส จะมุ่งเน้นตลาดลูกค้ากลุ่มเศรษฐีเป็นอันดับต้นๆ ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างของแบงก์ชั้นนำบางส่วนในยุโรปเท่านั้น ยังมีธนาคารอีกมากมายกำลังสังคายนาโครงสร้างองค์กรและธุรกิจอย่างจริงจัง เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจยุโรปและเศรษฐกิจโลก ยิ่งไปกว่านั้น ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ก็กำลังเร่งรัดให้ธนาคารพาณิชย์ในยุโรป ควรควบรวมกิจการกัน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง เนื่องจากปัจจุบัน ธนาคารในยุโรปมีจำนวนมากเกินปริมาณความต้องการของประชากร คาดว่ามีจำนวนมากกว่าสำนักงานไปรษณีย์ในยุโรปรวมกัน โดยในประเทศฝรั่งเศส สเปน อิตาลี และ เยอรมนี
ที่ผ่านมา การควบรวมกิจการของแบงก์ยุโรปไม่ค่อยเฟื่องฟูเท่าใดนัก แม้แต่โครงการการควบรวมกิจการธนาคารชั้นแนวหน้าของเยอรมนีในปี 2019 อย่าง Deutsche Bank กับ Commerzbank ก็ยังล้มเหลว ในชั่วระยะเวลาการเจรจาเพียง 6 สัปดาห์เท่านั้น จากสถิติพบว่า ในปีที่ผ่านมา การควบรวมกิจการของแบงก์ต่างๆ ในยุโรปอยู่ในระดับต่ำมาก ประมาณ 40 ราย นับเป็นสถิติต่ำสุดตั้งแต่วิกฤติการเงินโลก 2008 เทียบกับในปี 2018 มีจำนวน 62 ราย และในปี 2011 จำนวน 122 ราย
แนวโน้มที่ลดต่ำลงเป็นลำดับ สร้างความไม่สบายใจให้แก่ ECB ที่ต้องการส่งเสริมให้ธนาคารในยุโรปควบรวมกิจการกัน เพื่อปรับปรุงกิจการให้แข็งแรง พร้อมที่จะแข่งขันกับธนาคารคู่แข่งจากสหรัฐฯและจีน
ทั้งนี้ ECB เชื่อว่า สถานการณ์โควิดที่สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างแก่ภาคธุรกิจต่างๆ รวมถึง การธนาคารบางส่วน น่าจะเป็นตัวกระตุ้นให้ธนาคารมองหาพันธมิตร เพื่อช่วยกันฟื้นฟูกิจการอย่างแข็งขัน ยิ่งไปกว่านั้น ECB ยังมีมาตรการช่วยเหลือทางด้านเทคนิคทางบัญชีในกรณีที่แบงก์ควบรวมกิจการกัน โดยจะยกผลประโยชน์ให้แก่แบงก์ที่ควบรวมกิจการกัน เพื่อนำเงินที่ประหยัดไปใช้ในการกระบวนการปรับปรุงองค์กรใหม่ให้สามารถดำเนินกิจการได้โดยเร็ว ปัจจุบัน ธนาคารชั้นนำในอิตาลีและสเปน ได้มีการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการควบรวมกิจการกันอย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้ โควิด-19 จึงเปรียบเสมือนแรงเสริมให้แก่ ECB ที่ช่วยให้แบงก์ยุโรปหันมาปรับปรุงกิจการกันอย่างจริงจังก่อนที่จะสายเกินไป
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก