มองหุ้น CIMBT กับความท้าทายโมเดลรุกรายย่อย
ราคาหุ้น CIMBT พุ่งแรงสองวันติดต่อกันก่อนปิดตลาดสัปดาห์ที่แล้ว (ศุกร์ 16 ธ.ค.) พร้อมวอลุ่มเข้าหนุน ในช่วงที่ตลาดเผชิญแรงขายทำกำไรกลุ่มพลังงาน และหุ้นบิ๊กแค็ป ในกลุ่มอื่นอย่างไอซีที และ Healthcare ขณะในส่วน Commodity ยังพบแรงซื้อทยอยเข้ามาต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นที่อิงกับราคาน้ำตาล (KSL, BRR) สอดคล้องไปกับบิ๊กแค็ปในกลุ่มอาหาร (CPF, TU)
เมื่อวันพฤหัสฯ ที่แล้ว (15 ธ.ค.) CIMBT เปิดโต๊ะแถลงข่าวถึงการเข้าไปเปิดสาขาใน 7-11 จนเป็นที่มาของคำถามว่าโมเดลธุรกิจนี้จะช่วยสนับสนุนผลประกอบการจริงหรือไม่?
“ธนเดช รังษีธนานนท์” ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี โอเอสเค(ประเทศไทย) เปิดเผย Money Channel ว่า ราคาหุ้น CIMBT พุ่งขึ้นร้อนแรงส่วนหนึ่งเป็นเพราะหุ้นมี Free float ต่ำเพียงแค่ 6.3% เท่านั้น และแม้ว่าจะมีแรงซื้อเก็งกำไรเป็นจำนวนเงินที่ไม่สูง ก็สามารถผลักดันราคาหุ้นวิ่งขึ้นร้อนแรงจนติดเพดาน ส่วนการที่จำนวน Free float ต่ำ จึงไม่มีนักวิเคราะห์เข้ามาประเมินราคาพื้นฐานอย่างเป็นทางการ
อีกประเด็นที่น่าจับตา คือ การที่หุ้น CIMBT พลิกกลับมาบวกโดดเด่น อาจเป็นเพราะราคาหุ้นในช่วงก่อนหน้านี้ลดลงมาลึกต่ำกว่า 1 บาท จากที่เคยขึ้นไปสูงถึง 2 บาทกว่า ส่งผลให้ CIMB Group บริษัทแม่ที่มีสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในมาเลเซีย และใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกิดผลขาดทุนทางบัญชีจำนวนมาก เพราะถ้าย้อนกลับไปปี 2551 พบว่า CIMB Group เข้ามาซื้อกิจการธนาคารไทยธนาคารในราคาหุ้นละ 2.10 บาท มูลค่ารวมกว่า 5.9 พันล้านบาท สูงกว่ามูลค่าทางบัญชีถึง 3 เท่า เรียกได้ว่าเป็นดีลการซื้อกิจการธนาคารในไทยที่ราคาสูงเป็นอันดับต้นๆ และหลังจากนั้น CIMBT ได้มีการเพิ่มทุนเข้ามาเพิ่มเติมอีกหลายครั้ง ดังนั้น เมื่อราคาหุ้น CIMBT พลิกกลับมาฟื้นตัวอยู่ระดับสูง ก็จะทำให้ธนาคารแม่ CIMB Group จะกลับมามีผลบวกทางบัญชีก่อนปิดงบปี 2559
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดข้างต้นเป็นเพียงแค่การตั้งข้อสังเกตเท่านั้น แต่ถ้ามาประเมินปัจจัยพื้นฐานถึงโมเดลธุรกิจการเข้าไปเปิดสาขาใน 7-11 ของ CPALL จุดเปลี่ยนดังกล่าวยังไม่เพียงพอทำให้เห็นผลบวกที่ชัดเจนต่อศักยภาพทำกำไรในระยะสั้น แม้สาขาของ 7-11 จะมีจำนวนมาก แต่อาจจะไม่เห็น CIMBT เปิดในทุกๆสาขา
ขณะเดียวกัน โมเดลการเปิดสาขาเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันธนาคารแต่ละแห่งก็ลดจำนวนลง เพราะด้วยต้นทุนที่สูง ประกอบกับไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับต้นทุน ไม่เหมือนกับในอดีตที่การแข่งขันเรื่องขยายสาขาจำนวนมาก ถือเป็นกลยุทธ์หลักในการเข้าถึงลูกค้า
หรือแม้ว่าจะมองเป็นโมเดลเจาะถึงลูกค้ารีเทล คุณธนเดชก็มองว่ายังมีอีกหลายช่องทางที่ใช้ต้นทุนต่ำ อาทิ “โมบายแบงก์กิ้ง” เป็นต้น ดังนั้น จึงมองว่าการเปิดสาขาย่อย ไม่ใช่จุดเปลี่ยนด้านการแข่งขันของอุตสาหกรรมธนาคารของไทย แต่มองว่าจุดเปลี่ยนการแข่งขัน คือ การปรับสู่ระบบ ดิจิตอลแพลตฟอร์ม ให้ตอบสนองกับลูกค้าให้ได้มากที่สุดมากกว่า
"ผมคิดว่าการใช้โมเดลเปิดสาขาร่วมกับพันธมิตรอย่าง 7-11 ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่คงต้องมาดูกันว่าจะคุ้มค่ามากแค่ไหน เพราะการเปิดสาขาย่อยใช้ต้นทุนไม่สูง และเมื่อใช้ร่วมกับโมเดลป่าล้อมเมืองของ 7-11 น่าจะเข้าถึงรายย่อยได้มากขึ้น แต่ต้องบอกว่าธุรกิจแบงก์กับรายย่อยนั้น มีมาร์จิ้นต่ำมาก และถ้าจะไปแข่งขันสินเชื่อระดับรากหญ้ากับคู่แข่งในตลาดเดิมๆ ก็คงจะเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะระบบสินเชื่อแบงก์มีความยืดหยุ่นได้น้อยกว่าอยู่แล้ว ซึ่งถ้าทำได้ก็คงจะเป็นการเรียกฐานเงินฝากให้เพิ่มมากขึ้นมากกว่า"
ด้าน “มงคล พ่วงเภตรา” ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี(ประเทศไทย) บอกกับ Money Channel ว่า ถ้าประเมิน Valuation ของราคาหุ้น CIMBT ในปัจจุบันคิดว่าราคาหุ้นสูงเกินพื้นฐานและความเป็นจริงไปมาก เพราะโดยปกติแล้วราคาหุ้นกลุ่มธนาคารจะซื้อขายบนค่าเฉลี่ยมูลค่าทางบัญชี (P/BV) 1 เท่า และธนาคารนั้นต้องมีกำไรส่วนผู้ถือหุ้น หรือ ROE ที่ใกล้เคียงหรือสูงกว่าค่าเฉลี่ย 11% แต่เมื่อพิจารณาสถานะด้านการเงินหรือผลตอบแทนผู้ถือหุ้น CIMBT ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำเมื่อเทียบกับธนาคารอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน สะท้อนได้จาก ROE ที่ต่ำเพียงกว่า 4% ประกอบกับหุ้นมี Free float ที่ต่ำเพียงกว่า 6% ทำให้ราคาหุ้น CIMBT ที่ควรจะเป็นในกระดานซื้อขายต้องอิงมูลค่าทางบัญชีไม่สูงเกินกว่า 1 เท่า ซึ่งปัจจุบันมูลค่าทางบัญชี CIMBT อยู่ที่ 1.10 บาท ดังนั้น เมื่อเทียบกับมูลค่าหุ้นในกระดานจึงสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีกว่า 1.5 เท่าไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม เขามองการที่ราคาหุ้น CIMBT ที่ขึ้นมาแรงอาจเก็งไปตามกระแสข่าวบวกจากการจับมือร่วมกับ 7-11 ในการเปิดสาขาย่อย แต่คงต้องติดตามต่อไปว่า โมเดลธุรกิจในรูปแบบนี้ จะสำเร็จได้หรือไม่ แม้ว่าจะเป็นกลยุทธ์การลดต้นทุนด้านสาขาลง เพราะก่อนหน้านี้ CIMBT มีสาขากว่า 120 แห่ง แต่ปัจจุบันลดลงมาเหลือ 90 แห่ง แต่ด้วยกลยุธ์เปิดสาขาย่อย หรืออาจจะเรียกว่าเป็น Outlet ที่มีอยู่จำนวนมากตาม 7-11 ธนาคารฯ จำเป็นต้องมีบัญชีลูกค้าในมือที่มากพอเพื่อให้บริการได้ทั่วถึง แต่หากเปิดแล้ว มีผู้เข้าใช้บริการน้อยราย อาจจะไม่คุ้มค่ากับต้นทุนที่สูญเสียไป
แต่ทั้งนี้ ถ้ามองในมุมบวกก็อาจมีโอกาสเข้าถึงลูกค้าใหม่ได้ง่าย ทำให้ระดมเงินฝากได้เพิ่มขึ้น แต่ถ้าเป็นธุรกรรมด้านสินเชื่ออาจจะแข่งขันกับเจ้าตลาดเดิมในพื้นที่ลำบาก
ส่งท้ายด้วย “อุษณีย์ ลิ่วรัตน์” ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส มองว่าปัจุบันธนาคารรายใหญ่จนถึงรายเล็กต่างทยอยปิดสาขาลงเรื่อยๆ เพื่อคุมต้นทุนการบริหาร ภายใต้กระแสผู้บริโภคกำลังเข้าสู่ยุคดิจิตอลแบงก์กิ้ง ซึ่งในกรณี CIMBT ด้วยบริษัทแม่เป็นธนาคารรายใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย และเน้นลูกค้ารายย่อยเป็นหลัก ดังนั้น การได้พันธมิตรกลุ่มซีพีอย่าง 7-11 ที่มีเครือข่ายทั่วประเทศจึงน่าจะทำประโยชน์ได้อีกหลายด้านในอนาคต
แต่ถ้าให้ประเมินถึงโอกาสเติบโตในอนาคตคงจะคาดเดาได้ยาก เพราะการแข่งขันในอุตสาหกรรมมีสูง โดยเฉพาะในปีหน้า หุ้นธนาคารรายใหญ่จะมีความน่าสนใจมากกว่าธนาคารรายเล็ก เพราะด้วยภาวะเศรษฐกิจที่กลับมาพลิกฟื้นจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ขณะที่ปัญหา NPL ของกลุ่มลูกค้า SMEs จะเริ่มคลี่คลายลง
*********************************
ทีม Business&Finance , Money Channel