หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
เมื่อปัจจัยบวกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
.
หุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยังคงมีกระแสนิยมจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากมูลค่าการซื้อขายในแต่ละวันที่อยู่ในระดับสูง แต่ในเชิงปัจจัยพื้นฐานจะมีความน่าสนใจแค่ไหน Wealthy Thai หาคำตอบมาให้แล้ว
.
สำหรับหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์นักวิเคราะห์ได้ออกมาประเมินถึงแนวโน้มกำไรไตรมาส 3/66 ออกมาอย่างน่าสนใจ โดยกำไรกลุ่มจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อนหน้า แต่ถ้าแยกออกเป็นหุ้นรายตัว คาดการณ์กำไรสุทธิของแต่ละบริษัทจะเป็นอย่างไร?
.
หากถอดมุมมองนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) คงมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเชื่อว่าครึ่งปีหลังของปี 2566 เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัวของอุปสงค์ ในขณะที่แนวโน้มอัตรากำไรยังแข็งแกร่ง
.
ทั้งนี้ประเมินกำไรสุทธิของกลุ่มไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 6.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 70% จากไตรมาสก่อน
.
โดยคาดว่าการเติบโตจากไตรมาสก่อน จะมาจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นโดยรวมในช่วงไฮซีซั่น และการขยายตัวของอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) มาจากเงินบาทที่อ่อนค่าลงและต้นทุนการผลิตที่ลดลง
.
ขณะที่ DELTA คาดไตรมาส 3/66 จะมีกำไรสุทธิ 5,004 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 7.2% จากไตรมาสก่อน ซึ่งคาดว่ารายได้หลักจะเติบโตจากไตรมาสก่อน เนื่องจากจากยอดขายส่วนประกอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ที่ดีขึ้น และยอดขายพาวเวอร์ซัพพลายของศูนย์ข้อมูลที่เพิ่มขึ้น มีความกังวลบ้างเกี่ยวกับการจัดหาวัตถุดิบสำหรับรถ EV แต่คาดว่า GPM จะยังคงรักษาระดับได้ไตรมาสก่อนได้
.
ส่วน HANA คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 13.5% จากไตรมาสก่อน ซึ่งการลดลงจากไตรมาสก่อน ส่วนใหญ่มาจากผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากสัญญาป้องกันความเสี่ยง แต่การดำเนินงานหลักน่าจะดีขึ้นจากไตรมาสก่อน
.
นอกจากนี้คาดว่า KCE จะมีกำไรสุทธิ 500 ล้านบาท ลดลง 23.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 32.9% จากไตรมาสก่อน โดยการเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากไตรมาสก่อน เนื่องจากอุปสงค์การเดิมสินค้าคงคลัง PCB ซึ่งส่งผลให้กำไรสุทธิและการขยายตัวของ GPM ดีขึ้น
.
ขณะที่ SVI คาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 330 ล้านบาท ลดลง 44.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 17.3% จากไตรมาสก่อน ซึ่งการเติบโตแข็งแกร่งจากไตรมาสก่อน เนื่องจากอุปสงค์ที่ฟื้นตัวและ GPM ที่ดีขึ้น
.
ส่วนประเด็นเงินบาทอ่อนค่าอยู่ที่ประมาณ 37.2 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ จากผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแข็งแกร่ง และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการคลังของไทย
.
ทั้งนี้เชื่อว่าค่าเงินบาทอาจอ่อนค่าอย่างน้อยจนกว่าจะถึงการประชุม FOMC ครั้งถัดไปในเดือน พ.ย. ซึ่งจะช่วยสนับสนุนแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/2566 และมีแนวโน้มจะมี upside ต่อสมมติฐานในปี 2567 ที่ 33.8 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ การเปลี่ยนแปลงสมมติฐานด้านอัตราแลกเปลี่ยนทุก ๆ 1 บาท อาจส่งผลกระทบต่อกำไรของกลุ่มประมาณ 6-10% ต่อปี
.
ดังนั้นยังคงมุมมองบวกต่อกลุ่มดังกล่าว เนื่องจาก คาดว่าอุปสงค์จะเพิ่มขึ้นหลังจากการระบายสินค้าคงคลังสิ้นสุดลง ปรับเพิ่มคำแนะนำสำหรับ DELTA เป็น “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายไม่เปลี่ยนแปลงที่ 100 บาท
.
รวมทั้งปรับราคาเป้าหมายของ KCE เป็น 55 บาท เนื่องจากปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2566-2567 ขึ้นอีก 6-8% จากราคาไฟฟ้าที่ลดลง และการใช้แรงงานที่ลดลง ที่โรงงานในอนาคตที่โรจนะ และแนะนำให้นักลงทุนปล่อยให้ทำกำไรต่อไป คงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ HANA ราคาเป้าหมาย 69 บาท และ SVI ราคาเป้าหมาย 8.70 บาท ซึ่ง HANA ยังคงเป็นหุ้นเด่น
.
แต่ถ้าเข้าไปสำรวจบทวิเคราะห์รายตัวของนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ พบว่า DELTA นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ให้คำแนะนำ ขาย เพราะ ประเมินมูลค่าหุ้นแล้วยังไม่ถูก ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายด้วย PE ปี 66 และปี 67 ที่สูงเป็น 58 เท่า และ 50 เท่า ตามลำดับ เทียบกับราคาพื้นฐานล่าสุดเป็น 67 บาท ซึ่งประเมินด้วย PE ปี 67 ที่ระดับ 40 เท่าซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยในอดีต ราคาปิดยังส่วนลด (Downside) ได้อีก 19%
.
ขณะที่ KCE นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 64 บาท โดยเชื่อว่า KCE มีสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานดีขึ้นเนื่องจาก ต้นทุนวัตถุดิบลดลง ค่าไฟฟ้าลดลง อัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทกับดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง
.
อีกทั้งคาดว่าการใช้กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นจาก 78% ใน ครึ่งแรกปี 66 เป็น 85-90% ในครึ่งหลังปี 66 โดยคาดว่าครึ่งหลังปีนี้ KCE จะมีกำไรปกติต่อหุ้นเติบโตก้าวกระโดดถึง 75% จากครึ่งปีแรกและเพิ่มขึ้น 42% ในปี 67
.
สำหรับ HANA นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) แนะนำ Trading Buy ราคาเป้าหมาย 61 บาท คาดไตรมาส 3/66 มีกำไรสุทธิ 582 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 8% จากไตรมาสก่อน คาดยอดขายเพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทรงตัวจากไตรมาสก่อนแต่ GPM ทรงตัว
.
โดยอุตสาหกรรมที่โดดเด่น คือ อุตสาหกรรมถยนต์ (สหรัฐ) อุตสาหกรรมซมิฯ (ตาม telecom แต่ไม่ตามโทรศัพท์มือถือ) อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ (เครื่องช่วยฟังสามารถขายทั่วไปได้จึงมียอดขายเพิ่ม และอาจมีสินค้าใหม่เกี่ยวกับอุปกรณ์หัวใจ) อุตสาหกรรม IoT ยังเติบโต
.
ปิดท้ายที่ SVI นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) แนะนำ "ซื้อ" และมูลค่าพื้นฐานที่ 9.64 บาท สะท้อนคาดการณ์กำไรปกติที่โตเฉลี่ย 13.2% ในช่วงปี 66-70 หนุนจากคำสั่งซื้อจากลูกค้าเก่าที่โตต่อเนื่องในกรอบ 10-15% ต่อปี แต่บริษัทอาจมี upside เพิ่มจากกลุ่มลูกค้าใหม่ที่กำลังจะย้ายฐานผลิตออกจากจีนได้
