ส่องอุตสาหกรรมพลังงาน เลือกหุ้นศักยภาพดี
กลุ่มพลังงานนับเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพการเติบโตสูงในอนาคต เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมต่างๆ ของภาครัฐและเอกชน ที่มีเป้าหมายเพื่อให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางเพื่อก้าวไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วต่อไป
ดังนั้นจึงถือเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะมาเจาะลึก วิธีการวิเคราะห์โอกาสการเติบโตของหุ้นในกลุ่มพลังงานไฟฟ้า
ถ้าคุณสนใจจะลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานไฟฟ้า แน่นอนว่ามีหลายเรื่องที่ต้องศึกษา 3 ข้อต้องรู้
ข้อแรก คือ โอกาสในการเติบโต โดยสามารถดูได้จากโครงการในอนาคต ทั้งที่กำลังก่อสร้างและกำลังพัฒนา ว่ามีศักยภาพ มีขนาดเท่าไร เพราะนั่นหมายถึงรายได้ที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ส่วนใหญ่บริษัทพลังงานไฟฟ้าเหล่านี้ จะมีแผนชัดเจนว่าปีไหนจะมีโครงการสร้างเสร็จและเริ่มเปิดดำเนินการกี่โครงการ สามารถผลิตไฟฟ้าได้กี่เมกะวัตต์ และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ การพิจารณาว่าบริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับลูกค้าแล้วหรือยัง ถ้ามีแล้วมีกี่สัญญา ระยะยาวแค่ไหน มีโอกาสที่จะเติบโตอีกเท่าไร เพราะสัญญาซื้อขายไฟฟ้าคือข้อแตกต่างในศักยภาพการเติบโตในยุคที่ใครๆ ก็กระโดดมาทำธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้า
ข้อที่สอง ต้องมองย้อนหลังด้วย เพื่อดูว่าผลประกอบการที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ความสามารถในการบริหารสินทรัพย์ ความมั่นคงทางการเงินเป็นอย่างไร ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากเวลาที่เราศึกษาบริษัทในอุตสาหกรรมอื่นๆ
ข้อที่สาม ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของอุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้า คือ พลังงานเชื้อเพลิง เช่น ก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งคุณภาพเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญของทีมวิศวกร ซึ่งจะทำให้การผลิตไฟฟ้ามีความเสถียร เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรม แหล่งพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และน้ำ ซึ่งจะสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย และมีความยั่งยืนกว่า แต่จะเหมาะกับครัวเรือนในชุมชนต่างๆ
ธุรกิจโรงไฟฟ้าในไทย แบ่งออกเป็นโรงไฟฟ้าแบบ IPP (Independent Power Producer) ที่กำลังการผลิตไฟฟ้าเกินกว่า 90 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าแบบ SPP (Small Power producer) ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าระหว่าง 10-90 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าแบบ VSPP (Very Small Power Producer) ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าน้อยกว่า 10 เมกะวัตต์
โดยนอกจากกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ต่างกันแล้ว ผู้ซื้อไฟฟ้าของ
โรงไฟฟ้าทั้ง 3 ประเภท ยังแตกต่างกันอีกด้วย
1.โรงไฟฟ้าแบบ IPP (Independent Power Producer)
เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนที่สามารถเลือกเสนอพลังงานได้ทุกแบบ ยกเว้นนิวเคลียร์ ขายไฟฟ้าให้แก่ภาครัฐอย่างเดียว โดยไฟฟ้าส่วนนี้ก็จะถูกนำมาจ่ายให้แก่บ้านเรือนประชาชนเป็นส่วนใหญ่
2.โรงไฟฟ้าแบบ SPP (Small Power Producer)
เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าที่ใช้รูปแบบการผลิตพลังความร้อนร่วม (ก๊าซธรรมชาติ, ถ่านหิน) ชีวมวล (แกลบ ขยะ ก๊าซชีวภาพ) หรือพลังงานสะอาด (น้ำ แสงอาทิตย์ ลม) โดยที่ตั้งของโรงไฟฟ้าจะตั้งในแหล่งที่มีการใช้ไอน้ำอย่างนิคมอุตสาหกรรม เพราะไอน้ำเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังความร้อนร่วม ที่โรงงานต่าง ๆ ต้องการทั้งไฟฟ้าและไอน้ำเพื่อใช้ในกระบวนการผลิต
โรงไฟฟ้า SPP สามารถขายไฟฟ้าให้แก่ภาครัฐ เช่น กฟผ.และภาคเอกชนซึ่งเป็นโรงงานต่าง ๆ ในนิคมอุตสาหกรรมได้โดยตรง
3.โรงไฟฟ้าแบบ VSPP (Very Small Power Producer)
ส่วนมากจะใช้พลังงานชีวมวลต่าง ๆ ในการผลิตไฟฟ้า สามารถขายไฟฟ้าให้แก่ภาครัฐ เช่น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และภาคเอกชนได้เช่นเดียวกับโรงไฟฟ้า SPP
โดยหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เช่น RATCH EGCO GLOW และ GPSC ถือหุ้นใหญ่โดย กฟผ.
สำหรับหุ้นในกลุ่มพลังงานทดแทน ด้วยปริมาณความต้องการไฟฟ้าที่สูงขึ้น ทำให้พลังงานทดแทนเริ่มเข้ามามีสัดส่วนต่อการผลิตไฟฟ้าในประเทศมากขึ้น เช่น SPCG EA, TSE, และ SUPER เป็นต้น
ทั้งนี้ทั้งนั้นสำหรับหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า มีปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา ได้แก่ การประมูลโรงไฟฟ้า โดย กฟผ.จะเป็นผู้เปิดประมูล หากเห็นว่าปริมาณการใช้ไฟฟ้ามีมากขึ้น
ล่าสุดจะเห็นได้ว่าบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าหลายแห่ง ได้มีการกระจายลงทุนไปยังต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านยังมีระดับความต้องการไฟฟ้าตามภาวการณ์เติบโตของเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน
ซึ่งในอนาคตของหุ้นโรงไฟฟ้า ก็ยังมีความน่าสนใจลงทุนอยู่ เพราะว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศไทย รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านเติบโตขึ้นทุกปี โดยมุ่งเน้นการลงทุนในพลังงานทางเลือกมากขึ้น เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม เป็นต้น
ตัวอย่างเช่น บี.กริม เพาเวอร์ ซึ่งมีแผนที่จะเสนอขายหุ้น IPO และเข้าตลาดในเร็วๆ นี้ โดยในขณะนี้ ไฟลิ่งของ บี.กริม เพาเวอร์ ได้ผ่านการอนุมัติจาก ก.ล.ต. แล้ว ทำให้การระดมทุนครั้งนี้ดูจะมีความชัดเจนมากขึ้น
บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารงานของ คุณปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ในการขับเคลื่อนบริษัทสู่ความสำเร็จในปัจจุบัน เป็นบริษัทใน กลุ่มบี.กริม ที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมานานถึง 139 ปีและเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าแบบ SPP รายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของประเทศ
โครงการปัจจุบันเป็นอย่างไร ?
บริษัทฯ ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วจำนวนทั้งสิ้น 43 โครงการ ดังนี้
- โรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว 28 โครงการ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 1,626 เมกะวัตต์และกำลังการผลิตไอน้ำติดตั้ง 350 ตันต่อชั่วโมง
- โรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างรวม 5 โครงการ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 419.1 เมกะวัตต์และกำลังการผลิตไอน้ำติดตั้ง 90 ตันต่อชั่วโมง
- โครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 10 โครงการ รวมกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 338.5 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตไอน้ำติดตั้ง 60 ตันต่อชั่วโมง
บี.กริม เพาเวอร์ เริ่มลงทุนในโครงการพลังงานทดแทนมาตั้งแต่ปี 2558 และมีแผนจะขยายกำลัง
การผลิตสำหรับพลังงานทดแทน ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พลังน้ำ และพลังงานลม โดยมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน จากปัจจุบันคิดเป็นร้อยละ 10 เพิ่มเป็นร้อยละ 25-30 ในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล
นอกจากนี้ ยังได้ลงทุนในธุรกิจซื้อขายไฟฟ้าในประเทศเวียดนามและโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาวรวม 8 โครงการ รวมทั้งกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศอินโดนีเซีย เมียนมาร์ มาเลเซีย เวียดนาม กัมพูชา และฟิลิปปินส์
สถานะทางการเงินเป็นอย่างไร ?
การเงินโดยรวมเป็นไปในทิศทางที่ดี โดยมีผลประกอบการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 3 ปี ที่ผ่านมา ด้วยอัตราการเติบโตของรายได้ 17% และอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิปรับปรุง 89%
ถ้าจะลองมองดูผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปีล่าสุด คือ ในปี 2557, 2558 และ 2559 พบว่า บี.กริม เพาเวอร์ มีรายได้จากการขายและบริการเติบโต 19,854 ล้านบาท 22.857 ล้านบาท และ 27,232 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับกำไรสุทธิปรับปรุงส่วนที่เป็นของบริษัทในปี 2557 2558 และ 2559 มีจำนวน 325 ล้านบาท 713 ล้านบาท และ 1,166 ล้านบาท
สำหรับอัตรากำไรสุทธิปรับปรุง ในปี 2557, 2558, 2559 อยู่ที่ 4.0%, 5.3% และ 7.5% ตามลำดับ และที่น่าสนใจต่ออัตราผลตอบแทนในส่วนของผู้ถือหุ้น ในปี 2557, 2558 และ 2559 เพิ่มขึ้น จาก 7.0%, 1.3% จนปีล่าสุดอยู่ที่ 234.4%
โอกาสการเติบโตทางธุรกิจ ?
การเติบโตของธุรกิจ SPP ในประเทศไทยยังสามารถเติบโตได้อีก เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมยังคงมีการขยายตัวและยังต้องใช้ไฟฟ้าและไอน้ำที่มีคุณภาพในกระบวนการผลิต ทั้งนี้ ตามแผนพัฒนาพลังงาน PDP 2015 ไม่ได้มีการกำหนดเรื่อง SPP ไว้ แต่ยังคงมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการเปิดประมูล SPP แบบ Gas Cogeneration รอบใหม่เพิ่มเติม
- ทำไมลูกค้าอุตสาหกรรมต้องใช้ไฟฟ้าจาก SPP ?
เพราะไฟฟ้าจาก SPP มีความเสถียร โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ต้องการไฟฟ้าที่มีคุณภาพและความเสถียรสูง เนื่องจากการขาดไฟฟ้า เช่น ไฟตก หรือ ไฟดับ อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อกระบวนการผลิตของโรงงาน และอาจสูญเสียรายได้ถึงหลักแสนหลักล้านภายในเวลาไม่กี่วินาทีที่เกิดความขัดข้องขึ้น
ส่วนการเติบโตของตลาดพลังงานในต่างประเทศ มีแนวโน้มเติบโตอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากปัจจุบันประเทศลาวมีไฟฟ้าใช้เพียง 70% ของความต้องการทั้งหมด ส่วนประเทศเวียดนามเองก็มีความเติบโตทางด้านเศรษฐกิจอย่างโดดเด่น ซึ่งทำให้เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้ามากขึ้นด้วยเช่นกัน
ข้อได้เปรียบของ บี.กริม เพาเวอร์
1.บี.กริม เพาเวอร์ มีแผนการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าในอนาคตที่ชัดเจน โดยภายในปี 2564 หากโครงการโรงไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างและโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้ดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ จะทำให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 2,357 เมกะวัตต์ (บี.กริม เพาเวอร์ เป็นเจ้าของในสัดส่วน 1,516 เมกะวัตต์) และกำลังการผลิตไอน้ำเป็น 500 ตันต่อชั่วโมง (บี.กริม เพาเวอร์ เป็นเจ้าของในสัดส่วน 340.3 ตันต่อชั่วโมง) ซึ่งประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 2,111.1 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 114.2 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ 102.6 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม 16.0 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนที่ใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิง 13.0 เมกะวัตต์
2. ทีมผู้บริหารประสบความสำเร็จในการพัฒนา และการบริหารจัดการโครงการโรงไฟฟ้า โดยได้รับการสนับสนุนจากพนักงานที่มีความเป็นมืออาชีพและทุ่มเทเพื่อกลุ่มบริษัท โดยเฉพาะทีมผู้บริหารได้ทำงานกับบริษัทมากว่า 20 ปี จึงได้สั่งสมประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการและความรู้ความเข้าใจด้านเทคนิคมายาวนาน ตลอดจนความสามารถและความเชี่ยวชาญของทีมปฏิบัติการและบำรุงรักษาของบริษัท ทำให้บริษัทมีผลประกอบการธุรกิจโครงการโรงไฟฟ้าที่แข็งแกร่ง
3. บี.กริม เพาเวอร์ มีรายได้และกระแสเงินสดที่มั่นคงและต่อเนื่องจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว ได้แก่ กฟผ. (มีอายุสัญญา 21 ถึง 25 ปี) กฟภ. (มีอายุสัญญา 25 ปี) EDL (มีอายุสัญญา 25 ปี) สัญญาการจัดหาก๊าซธรรมชาติกับ ปตท. (มีระยะเวลาของสัญญาสอดคล้องกับระยะเวลาของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างกลุ่มบริษัทฯ และ กฟผ.) และลูกค้าอุตสาหกรรม (มีอายุสัญญา 5 ถึง 15 ปี) โดยมีลูกค้าอุตสาหกรรมกว่า 300 ราย ซึ่งมีฐานการผลิตอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศไทยและเวียดนาม ทั้งนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ สวนอุตสาหกรรมบางกะดี นิคมอุตสาหกรรมเหมราช นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง และนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ เบียนหัว
แผนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน
- วัตถุประสงค์ บริษัทฯ มีแผนที่จะระดมทุนเพื่อเป็นเงินลงทุนในโครงการที่กำลังก่อสร้าง ได้แก่ ABPR3 ABPR4 ABPR5 โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซน้ำน้อย 2 และ โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซกะตำ 1 เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับลงทุนในโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและโครงการในอนาคต รวมถึงเป็นเงินทุนสำหรับการชำระคืนภาระทางการเงินให้แก่ธนาคารต่างๆ เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัทฯ และเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ ของบริษัทฯ
- จำนวนหุ้นสามัญที่ออกใหม่จากการเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรกไม่เกิน 775,500,000 หุ้น โดยจัดสรรสัดส่วนดังนี้ หุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 705,000,000 หุ้น และหุ้นส่วนเกิน จำนวนไม่เกิน 70,500,000 หุ้น
- ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหลักทรัพย์ คือบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน)
โดยทั่วไป หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าต้องใช้เม็ดเงินลงทุนที่ค่อนข้างสูง และต้องใช้เวลาในการพัฒนาโครงการและการก่อสร้าง แต่ข้อมูลในอดีตของหุ้นในหมวดนี้ ก็มักจะแสดงถึงอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ดี และมักจะถูกจัดให้เป็นหุ้นประเภท Defensive Stock หรือเป็นหุ้นที่สามารถลงทุนได้แม้ตลาดจะอยู่ภาวะผันผวน นอกจากนี้ ธุรกิจพลังงานยังเป็นเมกะเทรนต์ของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สนใจหุ้นพลังงานควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมในเชิงลึก ในหนังสือชี้ชวนให้ละเอียดรอบคอบก่อนการตัดสินใจลงทุนต่อไป
ลองศึกษากันดูก่อนตัดสินใจได้ที่ www.bgrimmpower.com และสำหรับการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนหรือ IPO ของ บี.กริม เพาเวอร์ สามารถลองแวะไปฟังรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในโรดโชว์ที่จะจัดขึ้นในเร็วๆ นี้