ห้องเม่าปีกเหล็ก

เจาะเทรนด์ปี 66 หุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กฯ

โดย อะตอม
เผยแพร่ :
106 views

เจาะเทรนด์ปี 66 หุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กฯ

แม้มีความท้าทาย...แต่กำไรยังเติบโต

 

.

หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยังคงร้อนแรงไม่หยุด เห็นได้จาก Nasdaq ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ในส่วนของตลาดหุ้นไทยนักวิเคราะห์มีความเห็นว่า หุ้นกลุ่มนี้ คือหนึ่งกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์กลุ่ม Tech สหรัฐฯดีดตัวขึ้นแรง ดังนั้นวันนี้ทีมข่าว Wealthy Thai จะพานักลงทุนมาสำรวจความน่าสนใจ 3 หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของไทย ในเชิงพื้นฐานจะเป็นอย่างไร

.

หากถอดมุมมองนักวิเคราะห์บล.กสิกรไทย ระบุว่า คาดว่าแนวโน้มของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์จะน่าท้าทายในปี 2566 ตลาดคาดว่าแนวโน้มการเติบโตในปี 2566 จะออกมาคละกัน ตั้งแต่เติบโต 4-6% ไปจนถึงติดลบ 4-22% อย่างไรก็ดี สังเกตเห็นการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิในช่วง 1-2 ไตรมาสที่ผ่านมาจากตลาด PC และสมาร์ทโฟนที่อ่อนแอและสินค้าคงคลังที่ลดลง ซึ่งคาดจะใช้เวลาราว 1-2 ไตรมาสกว่าจะกลับมาอยู่ระดับปกติ

.

ทั้งนี้ ตลาดส่วนใหญ่ไม่คาดว่าจะเกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกในปี 2566 ณ ไตรมาส 3/2565 สินค้าคงคลังของบางบริษัทในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 105 วัน ซึ่งสูงกว่าระดับเฉลี่ยรอบ 5 ปี ที่ 96 วัน

.

สำหรับหุ้นพี่ใหญ่อย่าง DELTA โดยมุมมองนักวิเคราะห์บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า แนะนำ ขาย ราคาเป้าหมายปี 66 ที่ 650 บาท คาดกำไรสุทธิปี 65 ที่ 15,204 ล้านบาท โต 127% ส่วนปี 66 ที่ 16,196 ล้านบาท โต 6% และปี 67 ที่ 16,953 ล้านบาท โต 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าโดยภาพบวกคือคำสั่งซื้อยังเติบโต แต่ภาพลบคือค่าเงินบาทแข็งค่า และยังขาดวัตถุดิบเซมิฯสำหรับกลุ่ม EV car

.

ทั้งนี้ DELTA ยังคงเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานเด่น 1.ลูกค้ากลุ่ม Data Center ยังดีต่อเนื่อง 2.ลูกค้ากลุ่ม EV car โตปัจจุบันหลายประเทศมีแผนยกเลิกการผลิตรถเครื่องยนต์สันดาปและสนับสนุน EV car ในภาพรวม DELTA มีศักยภาพในการเติบโต ด้วยจุดเด่นของสายการผลิตที่มีต้นทุนต่ำ ขณะที่มีฐานลูกค้าหลายกลุ่มทั้งกลุ่มรถยนต์ กลุ่มโทรคมนาคม รวมทั้งมีลูกค้าในหลายภูมิภาคทั้งยุโรป- สหรัฐ-เอเชีย

.

ต่อมา HANA นักวิเคราะห์บล.กสิกรไทย ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” เพิ่มราคาเป้าหมายจาก 56 บาท เป็น 64 บาท เพื่อสะท้อนถึงการเพิ่มตัวคูณมูลค่า แม้ปรับลดประมาณการกำไรจากสมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ก็ตาม ชอบ HANA และเลือกเป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม

.

โดยเนื่องจาก HANA จะได้รับผลกระทบน้อยที่สุดจากเงินบาทที่แข็งค่า เป็นผลมาจากการป้องกันความเสี่ยง นอกจากนี้ ยังคาดว่า HANA จะมีคำสั่งซื้อที่เกี่ยวข้องกับส่วนประกอบ EV รวมถึงธุรกิจ SiC เพิ่มขึ้นด้วย โดยน่าจะเป็นวงจรการเติบโตใหม่ของบริษัทในปี 2566-2567

.

ทั้งนี้ปรับลดประมาณการกำไรปกติในปี 2566 และ2567 ของ HANA ลง 8% และ 3.3% เนื่องจากปรับลดประมาณการ GPM ลง เพื่อสะท้อนสมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ อย่างไรก็ตามมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อยอดขายในปี 2566-2567 เนื่องจาก HANA เพิ่งได้ลูกค้าใหม่ที่โรงงานผลิตในประเทศจีนเพื่อประกอบโมดูล EV ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตสูง

.

ทั้งนี้เชื่อว่าจะสามารถเติบโตต่อเนื่อง และสามารถชดเชยยอดสั่งซื้อสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ที่ลดลงในครึ่งแรกของปี 2666 ได้ทั้งหมด โดยคาดปี 66 จะมีกำไรปกติ 2,611 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.87% จากปี 2565 ที่คาดอยู่ที่ 2,538 ล้านบาท

.

สุดท้าย KCE บล.กสิกรไทย ระบุว่า คงคำแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 48 บาท เนื่องจาก ไม่คาดว่าจะฟื้นตัวใน 1-2 ไตรมาสข้างหน้า แม้คาดว่าต้นทุนวัตถุดิบหลักจะลดลงตั้งแต่ไตรมาส 4/2565 เป็นต้นไป

.

ทั้งนี้ปรับลดประมาณการกำไรของ KCE ลง 1.4%/8.5% สำหรับปี 2566-67 คาดว่ารายได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 จะยังคงอ่อนแอจากสินค้าคงคลังของลูกค้าที่อยู่ในระดับสูง และคาดว่าอุปสงค์จะฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 ปรับลดการคาดการณ์ตาม GPM ที่ลดลงเพื่อสะท้อนสมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนใหม่

.

โดยประเมินกำไรปี 2566 จะเติบโตจากปีก่อน จากอุปสงค์ที่ฟื้นตัวและการลดลงของราคาวัตถุดิบหลัก ซึ่งคาดปี 2566 มีกำไรปกติ 2,639 ล้านบาท เติบโต 8.64%จากปี 2565 ที่คาด 2,429 ล้านบาท อย่างไรก็ตามปี 2567 อาจมีความท้าทายโดยเฉพาะในในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 หลังการเริ่มดำเนินงานเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงงานใหม่ (กำลังการผลิตเพิ่ม 28%) ซึ่งต้นทุนคงที่น่าจะสูงกว่ารายได้ในช่วงแรก

 

 


อะตอม