3 หุ้นกลุ่มนิคมฯกำลังได้ผลบวก เมื่อภาครัฐกำลังคืนชีพ “โครงการอีอีซี” อีกครั้ง หลังครม.อนุมัติงบหนุนยานยนต์ไฟฟ้า 2.9 พันล้านบาท
WHA-AMATA-ROJNA หุ้นใหญ่ในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมกำลังจะได้รับประโยชน์อีกครั้งเมื่อรัฐบาลกำลังจะปลุกโครงการอีอีซี ให้กลับมาคืนชีพอีกครั้ง หลังจากที่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ถือเป็นอีกหนึ่งในเป้าหมายหลักในโครงการอีอีซี ซึ่งสะท้อนจากการที่ภาครัฐกำลังกระตุ้นการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยการอัดงบลงทุนหลายพันล้านเพื่อสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
จากประเด็นที่คณะรัฐมนตรี ได้อนุมัติงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อดำเนินมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า วงเงิน 2,923 ล้านบาท ตามประกาศของกรมสรรพสามิต เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการรับสิทธิมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า
โดยการดำเนินการดังกล่าวเพื่อให้ราคายานยนต์ไฟฟ้า รถจักรยานยนต์ไฟฟ้ามีราคาลดลงใกล้เคียงกับชนิดสันดาป รวมถึงให้เกิดแรงจูงใจในการซื้อและการผลิตในประเทศมากขึ้น ซึ่งรถยนต์จะเริ่มตั้งแต่ 70,000-150,000 บาทต่อคัน รถจักรยานยนต์จำนวนเงินอุดหนุน 18,000 บาทต่อคัน
ทั้งนี้จากปัจจัยดังกล่าว บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) คาดจะเกิดแรงจูงใจการปรับใช้รถยนต์ EV มากขึ้น หนุนหุ้นที่มีได้ ประโยชน์ตั้งแต่กลุ่มนิคม (WHA, AMATA) เช่นเดียวกันทางบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองว่ากลุ่มนิคมจะได้ประโยชน์ หลัง BOI อนุมัติโครงการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้ามูลค่า 1.78 หมื่นล้านบาทของ BYD ถือปัจจัยหนุนความต้องการพื้นที่นิคมฯ
สำหรับในมุมพื้นฐานของ WHA นักวิเคราะห์ระบุว่า กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมใน ASEAN จะได้อานิสงส์เชิงบวกจากการย้ายฐานการผลิตของบริษัทขนาดใหญ่ หลังสัมพันธภาพระหว่างจีนกับสหรัฐฯ มีแนวโน้มตึงเครียดเพิ่มขึ้น หลังนักการเมืองระดับสูงของสหรัฐฯ เยือนไต้หวัน
ขณะเดียวกันล่าสุดทางค่าย Apple มีแผนย้ายฐานการผลิต Apple Watch และ MacBooks จากจีนมาเวียดนามสอดคล้องกับมุมมองของเราต่อการย้ายฐานการผลิตเพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ และ WHA มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว หลัง BOI อนุมัติโครงการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้ามูลค่า 1.78 หมื่นล้านบาทของ BYD อีกทั้งมีประเด็นบวกจากการปิดดีลขายที่ล็อตใหญ่ถึง 600 ไร่ได้ในไตรมาส 3/65
สำหรับ หุ้นกลุ่มนิคมฯ เคลื่อนไหว Outperform ตลาดจากการลงทุนรอบใหม่ของอุตสาหกรรม EVCar นำโดย WHA ที่คาดว่าจะเซ็นสัญญาขายที่ดินกว่า 600 ไร่ ให้กับผู้ผลิต EV Car จากจีนในเดือน ก.ย. ดังนั้น เราคาดว่าหุ้นกลุ่มนิคมอื่น ๆที่มีที่ดินใน EEC จะได้ประโยชน์เช่นกัน
โดย ROJNA บรรลุข้อตกลงขายที่ 313 ไร่ ให้กับบริษัทฮอริษอน พลัส ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนในกลุ่ม PTT กับ Foxconn โดยคาดว่าจะโอนที่ดินได้ในปี 2566 ขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าคาดว่าจะฟื้นตัวจากการปรับขึ้นค่า Ft รอบเดือน ก.ย.ถึง ธ.ค.2565 ซื้อขายที่ PBV เพียง 0.7 เท่าเทียบกับ AMATA ที่ 1.2 เท่า และ WHA ที่ 1.7 เท่า
ส่วน AMATA นักวิเคราะห์มองว่าในงวดครึ่งหลังของปี 65 ยอดขายและโอนที่ดินในไทยและเวียดนามจะเริ่มฟื้นตัวเนื่องจากผลบวกจากการเปิดประเทศ ทำให้นักลงทุนกลับมามากขึ้น ซึ่งส่งผลบวกต่อเนื่องไปยังธุรกิจสาธารณูปโภค ขณะที่ใน 1H65 บริษัทมียอดขายที่ดิน 174 ไร่ ซึ่งคิดเป็น 14% ของเป้าขายที่ดินรวม ที่ 1 พันไร่
โดยบริษัทให้ข้อมูลว่าในช่วงครึ่งปีหลัง มีนัดเจรจากับลูกค้ารอเตรียมเซ็นสัญญาอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เรามองว่าอาจจะมี downside risk จากเป้าขายที่ดินของบริษัทได้ หากเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้หากไม่นับรวมรายการพิเศษกำไรปกติในครึ่งแรกปี 65 คิดเป็นเพียง 10% ของประมาณการทั้งปีของเราที่ 1,683 ล้านบาท
ทั้งนี้อยู่ระหว่างทบทวนปรับประมาณการลง หลังจากประชุมกับบริษัทในวันที่ 6 ก.ย. 65 เพื่ออัพเดทยอดขายและยอดโอนที่ดิน เบื้องต้นปรับลดคำแนะนำเป็น "เก็งกำไร" ขณะที่ Upside ที่ยังไม่รวมประมาณการ เช่น 1.โครงการที่ สปป. ลาว จำนวน 2,563 ไร่ 2.โรงไฟฟ้าในบริษัทร่วมจะจ่ายไฟเข้าระบบ ในปี 66
