-------------------------------------------------------
บทความตอนที่ผ่านๆ มาอ่านได้จาก: http://www.chiangmaifx.com/price-patterns.html
www.facebook.com/275391639215535/photos/pcb.1603468543074498/1603467323074620/
-------------------------------------------------------
องค์ประกอบของรูปแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ตัวอย่างในรูปที่ 6-5 ขอบด้านบนและด้านล่างแต่ละเส้นของรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าถูกเส้นราคาแตะไปตามแนวขวางอย่างน้อยสามครั้ง (ซึ่งที่จริงแล้วเราสามารถสร้างรูปสี่เหลี่ยมนี้ได้ตั้งแต่สองจุดแรก) อาจมีคำถามว่านี่จะเป็นการสร้างรูปแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ถูกต้องแล้วจริงๆ หรือ? คำตอบก็คือ "ใช่" และเพื่อให้มีเหตุผลมารองรับเราต้องทดสอบพื้นฐานทางจิตวิทยาในการฟอร์มตัวของรูปแบบราคา ทั้งนี่ ให้จำไว้ว่า transition period นั้นไม่ต่างอะไรกับการรบระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ถ้าการรบยืดเยื้อจากการที่ต่างฝ่ายต่างมีการแตะหรือเข้าใกล้เส้นเขตแดนของอีกฝ่ายได้มากกว่าสองครั้งนั่นหมายความว่าความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายมีความสำคัญมากนอกจากนี้ยังบอกเป็นนัยได้ด้วยว่าแนวโน้มขาลงของรูปแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าจะแข็งแกร่งขึ้น เราสามารถพูดได้ว่ายิ่งขอบเขตของรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าถูกเส้นราคาแตะบ่อยครั้งมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเท่านั้น เมื่อกลับไปที่กฎข้อที่สองที่อธิบายไว้ในบทที่ 4 เกี่ยวกับความสำคัญของเส้นแนวโน้ม มันก็เหมือนกับแนวโน้มที่เป็นเส้นแนวขวางซึ่งก่อรูปขึ้นเป็นรูปแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่นี้ลองกลับไปที่การรบทางทหารของเราอีกครั้ง ยิ่งการสู้รบระหว่างสองฝ่ายนานขึ้นเท่าไรนักรบก็จะใช้กำลังเฮือกสุดท้ายไปจนหมดแรง และชัยชนะก็จะยิ่งต้องเป็นชัยชนะที่เด็ดขาดสมบูรณ์มากขึ้นเท่านั้น
คุณอาจสังเกตเห็นว่าผมใช้คำว่า “เข้าใกล้” และคำว่า “แตะ” ซึ่งผมให้ความสำคัญมาก เพราะในชีวิตจริงคุณมักจะพบว่าการสร้างขอบเขตบนและล่างของสี่เหลี่ยมผืนผ้าไม่ได้เท่ากันเป๊ะเหมือนกับในรูปที่ 6-5 ดังนั้นผมจึงยึดว่าการที่ราคาเข้าใกล้เส้นแนวโน้มหรือขอบเขตของรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าใดๆ แล้วก็จะถือว่ามันได้แตะถึงกันแล้วจริงๆ ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว หากเส้นราคาเข้าใกล้เส้นขอบเขตที่ว่านี้แล้วมีการกลับตัว มันก็เป็นการตอกย้ำว่าระดับราคานี้แหละที่เป็นแนวรับ/แนวต้าน
ความสำคัญของรูปแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า
หลักการของการสร้างรูปแบบราคาและการตีความหมายสามารถนำไปใช้กับกรอบเวลาใดก็ได้ จะเป็นกราฟแท่งรายนาทีไปจนถึงรายเดือนหรือรายปีก็ได้ทั้งนั้น อย่างไรก็ตามความสำคัญของการฟอร์มรูปแบบราคาในแต่ละกรอบเวลาจะอยู่ที่ขนาดและความลึกต่างหาก
เราได้กำหนดไว้แล้วว่ารูปแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ขอบเขตบนล่างถูกเส้นราคาแตะอยู่หลายครั้งจะมีความสำคัญมากกว่าที่มีการแตะแค่ครั้งสองครั้ง นอกจากนี้ยิ่งรูปแบบราคาใช้เวลาในการฟอร์มรูปให้สมบูรณ์มากขึ้นเท่าไหร่ จำนวนของความผันผวนภายในของมันจะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และยิ่ง trading range มีความลึกมากขึ้นเท่าไหร่ การเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดขึ้นตามมาก็ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นตามไปด้วย
เราลองมาพิจารณาปัจจัย 3 ประการของรูปแบบราคา
- กรอบเวลา (Time Frames)
ยิ่งกรอบเวลามีความยาวมากขึ้นก็ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น ดังนั้นรูปแบบราคาที่แสดงบนกราฟรายเดือนก็น่าจะมีความสำคัญมากกว่ากราฟระหว่างวัน นอกจากนี้ยิ่งใช้เวลาการพัฒนารูปแบบในกรอบเวลาที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นเท่าไหร่ ความสำคัญของมันในกรอบเวลานั้นก็จะยิ่งมากขึ้น ดูได้จากเมื่อเราอ่านกราฟรายวันแล้วสังเกตเห็นการฟอร์มรูปแบบราคาเกิดขึ้นสองครั้ง ครั้งแรกใช้เวลาสิบวันในขณะที่ครั้งที่สองใช้เวลาสี่สัปดาห์ถึงจะมีรูปแบบราคาที่สมบูรณ์ เราจะเห็นชัดเจนเลยว่าการต่อสู้ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายที่กรอบราคาสี่สัปดาห์มีความสำคัญและมีความเกี่ยวข้องกันมากกว่า ดังนั้นเมื่อเห็นรูปแบบที่แสดงออกมา ความมั่นใจในการเคลื่อนไหวของราคาก็น่าจะยิ่งมีมากขึ้น ที่ผมใช้คำว่า “น่าจะ” ก็เพราะว่ามันเป็นแนวคิดทั่วๆ ไป เพราะโดยส่วนใหญ่รูปแบบขนาดใหญ่ก็จะมีความสำคัญมากกว่าอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ใช่ทุกครั้งเท่านั้นเอง และการวิเคราะห์กราฟทางเทคนิคเป็นเรื่องของความน่าจะเป็น ที่ไม่เคยมีอะไรแน่นอน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าในบางครั้งรูปแบบขนาดเล็กอาจจะตามมาด้วยการเคลื่อนไหวของราคาขนานใหญ่ก็เป็นได้
ลองเปรียบเทียบรูปแบบการสะสมหุ้นที่ราคาต่ำสุดกับองค์ประกอบของมัน สิ่งสำคัญคือการสร้างฐานราคาที่แข็งแกร่งพอที่ไต่ระดับขึ้นไปได้ก็เหมือนกับการสร้างฐานรากที่มีขนาดใหญ่ ,แข็งแกร่ง และลึกยิ่งกว่าการสร้างตึกระฟ้า ในกรณีของราคาหลักทรัพย์ ฐานรากที่ว่านั้นก็คือรูปแบบการสะสมหุ้นซึ่งแสดงถึงการหยั่งเชิงกันระหว่างฝ่ายผู้ซื้อและผู้ขาย ในระยะการสะสมหุ้นนี้ นักลงทุนที่มากประสบการณ์และผู้เชี่ยวชาญต่างพากันเปิดสถานะหรือสะสมหลักทรัพย์ที่คาดว่าราคาจะดีขึ้นภายในหกถึงเก้าเดือนข้างหน้า และการเป็นเจ้าของจะเปลี่ยนมือจากผู้ค้าหรือนักลงทุนที่ไม่มีข้อมูลไปยังนักลงทุนที่แข็งแกร่งและมีข้อมูล ดังนั้นยิ่งรูปแบบการสะสมที่ใช้เวลายาวนานก่อนสิ้นสุดอย่างสมบูรณ์และยิ่งระดับของกิจกรรมภายในรูปแบบมากขึ้น กระบวนการสะสมหลักทรัพย์ก็ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น ดังนั้นตำแหน่งราคาทางเทคนิคก็จะแข็งแกร่งขึ้นด้วย
การกลับตัวจะเกิดขึ้นอย่างแท้จริงที่จุดสูงสุดของตลาด ในที่ซึ่งมีจำนวนของการแจกจ่ายหลักทรัพย์จำนวนมากส่งผลให้ช่วงเวลาของ price erosion ยืดเยื้อออกไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
- ความสำคัญของความผันผวนภายในรูปแบบราคา
รูปแบบราคานั้นจะมีความสำคัญมากขึ้นถ้ามีความผันผวนอยู่ภายในจำนวนมาก เมื่อราคาวิ่งขึ้นลงอยู่ในกรอบเป็นเวลานานโดยไม่สามารถทะลุแนวต้าน/แนวรับได้และนักลงทุนหรือนักค้าหุ้นใช้ราคาซื้อที่ราคาหนึ่งและขายที่อีกราคาหนึ่ง การเคลื่อนไหวของราคาจะอยู่นอกเหนือทั้งขีดจำกัดที่เป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานและที่มีความสำคัญในเชิงจิตวิทยาอย่างมาก
ในปี 1972 และ 1973 ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์มีการขยับขึ้นขนานใหญ่ ตาม Chart 6-2 ที่แสดงราคาของ CRB Composite คุณจะเห็นว่าราคาที่ไล่ระดับขึ้นและมี trading range ที่มีช่วงเวลาหลายปี ซึ่งเราไม่มีทางทราบล่วงหน้าได้เลยว่าการทะลุกรอบแนวต้านจะเกิดขึ้นได้อย่างน่าตื่นเต้นขนาดนี้ อย่างไรก็ตามจากของการต่อสู้กันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้บ่งบอกว่าผลสุดท้ายปรากฏ มันก็มีสัญญาณราคาที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเส้นแนวโน้ม
Chart 6-2 ราคารายวันของ CRB Composite ในระหว่างปี 1957-1983
------ จบบทความแปล Price Pattern ตอนที่ 15 ,www.chiangmaiFX.com ------