ห้องเม่าปีกเหล็ก

ส่องโอกาสการเติบโต 5 หุ้นโรงกลั่นของไทย

โดย ลีลาวดี
เผยแพร่ :
137 views

ส่องโอกาสการเติบโต 5 หุ้นโรงกลั่นของไทย

เมื่อความต้องการใช้ ยังคงมากกว่าอุปทานใหม่

 

 

.

หุ้นกลุ่มโรงกลั่นยังคงมีปัจจัยบวกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สอดรับจากการประเมินของนักวิเคราะห์ต่างคาดว่า ตลาดจะยังคงตึงตัวต่อเนื่องไปยังในปีหน้า หลังความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังไม่มีสัญญาณยุติ และอุปสงค์และอุปทานทั่วโลกยังคงมีแนวโน้มตึงตัวต่อเนื่อง รวมทั้งอุปสงค์ของจีนจะฟื้นตัวจากการผ่อนคลายนโยบายปลอดโควิด ดังนั้น Wealthy Thai จึงได้รวมรวบ 5 หุ้นโรงกลั่นยอดนิยมของนักลงทุนมาฝาก ซึ่งจะมีความน่าสนใจแค่ไหน บทความมีนี้คำตอบแล้ว

.

โดยมุมมองของนักวิเคราะห์บล. ธนชาต มีความเห็นว่า ยังคงมองบวกต่อกลุ่มโรงกลั่น คาดตลาดโรงกลั่นทั่วโลกจะตึงตัวต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า เนื่องจาก 1. ยังไม่มีสัญญาณว่าความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนจะยุติลง และอุปสงค์และอุปทานทั่วโลกยังคงมีแนวโน้มตึงตัวต่อเนื่อง 2. การคว่ำบาตรของยุโรปต่อผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปของรัสเซียจะมีผลบังคับใช้อย่างสมบูรณ์ในเดือนกุมภาพันธ์ 66 และอาจนำไปสู่การลดระดับอุปทานโลกจากรัสเซีย 3.คาดอุปสงค์ของจีนจะฟื้นตัวจากการผ่อนคลายนโยบายปลอดโควิด และการล็อกดาวน์ที่น้อยลง

.

ทั้งนี้แม้ว่าค่าการกลั่นจะลดลงจากจุดสูงสุดในช่วงเริ่มต้นสงคราม ทำให้ปรับลดสมมติฐานลง แต่คาดว่าค่าการกลั่นจะยังคงอยู่ในระดับที่สูง โดยปรับสมมติฐานค่าการกลั่นสิงคโปร์อ้างอิงใหม่เป็น 9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในปี 65 ส่วนปี 66 ที่ 7.9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และ 7.6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในปี 67 เทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 5-6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

.

ขณะที่คาดว่าอุปสงค์เพิ่มเติมของโรงกลั่นทั่วโลกจะยังคงมากกว่าอุปทานใหม่ในอีกหลายปีข้างหน้า โดยในปี 66 แม้ว่าจะมีอุปทานใหม่จำนวนมากเข้าสู่ตลาด แต่คาดว่าอุปสงค์ที่แข็งแกร่งหลังโควิดจะตามทันอุปทานใหม่ นอกจากนี้ยังเห็นแนวโน้มที่ตลาดจะตึงตัวยิ่งขึ้นไปอีกจาก 1.อัตราการดำเนินงานที่ลดลงของกำลังการผลิตของรัสเซีย

เนื่องจากการคว่ำบาตรที่มีผลบังคับใช้โดยยุโรป และ 2.ความต้องการเพิ่มเติมเพื่อสะสมสินค้าคงคลังให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้นในยุโรปเพื่อรักษาความมั่นคงด้านอุปทานเนื่องจากการคว่ำบาตร รัสเซียคิดเป็น 9% ของอุปทานการกลั่นทั่วโลก

.

โดยชอบ TOP และ ESSO เนื่องจากมีสัดส่วนผลิตภัณฑ์ middle-distillate ค่อนข้างสูงมากกว่าบริษัทอื่น TOP จากการเป็นหุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาดที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มโรงกลั่น และมี valuation ต่ำที่ 0.7 เท่า P/BV และ 7.7 เท่า PE ในปี 66 ชอบ ESSO

เนื่องจากมีเรื่องราวการเติบโตของปริมาณขายทั้งจากธุรกิจโรงกลั่นและสถานีบริการน้ำมัน และให้อัตราผลตอบแทนปันผลสูงถึง 12.2/6.2% ในปี 65-66 จากปันผลต่อหุ้นที่ 1.5 บาท ESSO จ่าย 0.5 บาท เป็นเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับการดำเนินงานในครึ่งแรกปี 65 และส่วนที่เหลืออีก 1.0 บาท หรืออัตราผลตอบแทน 8% จะจ่ายประมาณเดือนพฤษภาคมปีหน้า

.

สำรวจปัจจัยพื้นฐาน

TOP บล. ธนชาต มีความเห็นว่า ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” TOP และเป็นหุ้น Top Pick ในกลุ่มโรงกลั่น ให้ราคาเป้าหมาย 70 บาท เนื่องจาก มองว่าหุ้นอยู่ในสถานะที่ดีที่สุดที่จะได้ประโยชน์กับตลาดโรงกลั่นที่คาดว่าจะตึงตัวในปีหน้า เนื่องจาก 1.มีสัดส่วน middle distillate ที่มีอัตรากำไรสูงในระดับสูงที่สุดในกลุ่มโรงกลั่นของไทยที่ 52%

.

2.ขณะที่คาดว่า jet spread จะดีขึ้นตามอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากการท่องเที่ยวทั่วโลก และธุรกิจที่ฟื้นตัว diesel spread คาดว่าจะได้รับแรงหนุนจากการที่สหภาพยุโรปประกาศห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปของรัสเซียในเดือนกุมภาพันธ์ 66 3. TOP เป็นโรงกลั่นของไทยรายเดียวที่มีเรื่องราวการเติบโตของกำลังการผลิตในระยะยาวในปี 68

.

4.TOP เดินเรือ VLCC หรือให้บริการขนส่งน้ำมันดิบเองที่ 75% ของการใช้งานของบริษัท และได้รับผลกระทบน้อยกว่าบริษัทอื่นในเรื่องอัตราค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น และ 5. มองว่า TOP น่าสนใจที่ 0.7 เท่า P/BV และ 7.7 เท่า PE ในปี 66 นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะให้อัตราผลตอบแทนปันผลที่ 5.4/5.5% ในปี 65-66 อีกด้วย

.

ดังนั้นคาดกำไรแข็งแกร่งต่อเนื่องในไตรมาส 4/65-1/66 โดยคาดว่าปัจจัยหนุน GRM ในระยะสั้นคือความต้องการในฤดูหนาว ความต้องการน้ำมันอากาศยานที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูท่องเที่ยว และการห้ามการใช้น้ำมันสำเร็จรูปของรัสเซียของสหภาพยุโรปในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 66 นอกจากนี้ คาดว่าจะไม่มีผลขาดทุนการป้องกันความเสี่ยงและสินค้าคงคลังในไตรมาส 4/65 ด้วย โดยคาดปี 2565 รายงานกำไรสุทธิ 39,216 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนที่อยู่ระดับ 12,578.03 ล้านบาท

.

ESSO บล. ธนชาต มีความเห็นว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” ESSO และเป็นหุ้น Top Pick ของในกลุ่มโรงกลั่นเช่นกัน ให้ราคาเป้าหมาย 16 บาท โดยชอบ ESSO ที่ไม่เพียงแต่ได้ประโยชน์จากตลาดโรงกลั่นที่ตึงตัวทั่วโลก แต่ยังมีปัจจัยผลักดันการเติบโตของตัวเองด้วย ESSO มีผลผลิต middle distillate ที่มีอัตรากำไรสูงในสัดส่วนสูงถึง 52% การเปลี่ยน PX storage เป็น oil storage ในต้นปี 66 น่าจะส่งผลให้ ESSO ใช้กำลังการผลิต 1.75 แสนบาร์เรลต่อวัน ที่อัตราการใช้กำลังการกลั่นสูงขึ้น

.

นอกจากนี้ ESSO ยังมีเรื่องราวการเติบโตจากธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน และเป็นหุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทนปันผลสูงที่ 12.1/6.2% ในปี 65-66 ซึ่งจ่ายปันผลที่ 0.5 บาท สำหรับผลงานครึ่งแรกปี 65 และคาดว่าจะจ่ายที่เหลือ 1 บาท (yield 8%) สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งหลังปี 65 โดยคาดปี 65 จะมีกำไรสุทธิ 11,687 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนอยู่ที่ 4,443 ล้านบาท

.

SPRC บล. ธนชาต กล่าวว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 14.5 บาท โดยยังคงคาดว่า SPRC จะได้ประโยชน์จากอัตรากำไรของ middle distillate ที่แข็งแกร่ง แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นน้อยกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่น บริษัทเป็นโรงกลั่นที่ดีด้วย มีงบดุลที่แข็งแกร่ง เชื่อว่า FCF yield ที่สูงถึง 17-19% สามารถรองรับอัตราเงินผลตอบแทนปันผลที่ 5.9/4.5% ในปี 66-67 ได้ มองว่าหุ้นน่าสนใจที่ PE66 ที่ 8.5 เท่า และ P/BV ที่ 1.2 เท่า ซึ่งอยู่ใกล้ค่าเฉลี่ยในอดีต ขณะที่คาดว่าจะให้ ROE สูงที่ 14.5/12.5% ในปี 66-67 โดยคาดปี 65 จะมีกำไรสุทธิ 8,663 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนอยู่ที่ 4,746 ล้านบาท

.

BCP บล. ธนชาต กล่าวว่า ยังคงแนะนำ ซื้อ BCP ราคาเป้าหมาย 37 บาท คาดว่าแนวโน้มกำไรยังคงแข็งแกร่งในทุกธุรกิจหลัก (โรงกลั่น สำรวจและผลิต และสถานีบริการน้ำมัน) มองว่าโรงกลั่นได้ประโยชน์จากอัตรากำไรของ middle-distillate ที่แข็งแกร่ง ขณะที่ธุรกิจ E&P และธุรกิจสถานีบริการน้ำมันมีแนวโน้มที่จะมีปริมาณขายเติบโตสูงขึ้นต่อเนื่อง คาดปี 65 มีกำไรสุทธิ 14,769 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 7,624 ล้านบาท

.

สุดท้าย PTTGC บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนะนำ “ซื้อ” สำหรับการลงทุนระยะยาว ปรับราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 เป็น 53 บาท โดยไตรมาส 4/65 คาดผลประกอบการไม่แย่เท่าไตรมาส 3/65 เพราะขาดทุนสต็อกน้ำมัน, ขาดทุนFX, ขาดทุน Hedging จะลดลงจากไตรมาสก่อน

.

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมกำไรยังอยู่ในเกณฑ์อ่อนแอเพราะตลาดปิโตรเคมียังไม่ฟื้นตัว รวมทั้งเป็นช่วงปิดซ่อมบำรุงใหญ่ของโรงกลั่น ซึ่งงวด 9 เดือนปี 65 ขาดทุนสุทธิ 7.8 พันล้านบาท ทำให้ ปี 65 ที่คาดขาดทุน 1.3 พันล้านบาท ยังมีความท้าทาย แต่หากมองข้ามไปปี 66 คงมุมมองว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวจากปี 65 เพราะปัจจัยลบจากขาดทุน Hedging จำนวนมากไม่เกิดขึ้น และแผนการปิดซ่อมบำรุงลดลง

 

 


ลีลาวดี