ห้องเม่าปีกเหล็ก

PTTGC - laggard play ที่คงต้องรอต่างชาติ

โดย คนเล่นหุ้น
เผยแพร่ :
67 views


17 กันยายน 2561 / 03.29 น.

Cr.Wattana Stock Page

ราคาหุ้นตระกูล PTT นับว่ากลับมาโดดเด่นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ PTTEP ที่ราคาขึ้นทดสอบระดับ 150 บาท ทั้งๆที่เหลือ upside ไม่มากนัก และนักวิเคราะห์บางค่ายให้ย้ายตัวเล่นเสียด้วยซ้ำ

แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ราคาน้ำมันที่กลับมาวนเวียนอยู่ในระดับ 70 เหรียญ มีส่วนช่วยให้หุ้น PTTEP กลับมาน่าสนใจ เนื่องจากเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันโดยตรง

และหากย้อนไปดูตัวเลขการซื้อสุทธิของ NVDR ก่อนหน้านี้ราว 1 - 2 สัปดาห์จะเห็นเลยว่า มีการซื้อหุ้น PTTEP เข้ามาอย่างหนัก ทั้งในวันที่ดัชนีปรับตัวขึ้นและในวันที่ดัชนีปรับตัวลง

ราคาหุ้น PTT เองยังไม่สามารถ break กรอบ 53 บาทกลับขึ้นไปได้ แม้ PTTEP จะดีดกลับมาแรงก็ตามแต่ อาจเป็นเพราะมีข่าวว่า ในการ roadshow ที่ต่างประเทศนั้น นักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจในการเข้าซื้อธุรกิจลูกของ PTT มากกว่า เพราะมองว่า การเปลี่ยนรัฐบาล อาจทำให้นโบบายทางด้านพลังงานเปลี่ยนไป และมองแนวโน้มการแข่งขันในเรื่องการค้าปลีกน้ำมันที่สูงขึ้น

นักวิเคราะห์เกือบทุกสำนักหันมาให้ความสนใจกับหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี เพราะว่าราคาปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก ถ้าเทียบกับจุดสูงสุดที่เคยทำไว้ ไม่ว่าจะเป็น TOP PTTGC และ IRPC

หุ้นทั้ง 3 ตัวนี้ที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของ PTT ไม่มีตัวไหนเลยที่ทำธุรกิจด้านเดียว คือ ทั้ง 3 บริษัทมีทั้งโรงกลั่น ปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ และสายอะโรเมติกส์ เพียงแต่ว่า ตัวใดจะมีสัดส่วนของธุรกิจใดมากกว่ากันแค่นั้นเอง

ถ้าดูจาก IAA Consensus จะเห็นได้ว่า TOP และ PTTGC ต่างเป็นหุ้นที่นักวิเคราะห์เลือกให้เป็น Top Picks กันเสียส่วนใหญ่

โดย TOP มีความได้เปรียบตรงที่มีรายได้จากธุรกิจการกลั่นมาก และค่าการกลั่นที่ขยับขึ้นมา ทำให้ TOP ค่อนข้างจะได้ประโยชน์

แต่หากไปดูใน IAA Consensus แล้ว หุ้น PTTGC เป็นหุ้นที่มี upside สูงกว่า TOP เสียอีก เพราะส่วนใหญ่จะให้ราคากันเกิน 100 บาทกันไปแล้ว มีเพียงแค่ไม่กี่แห่งที่ยังให้ต่ำกว่า 100 บาทอยู่เล็กน้อย โดยบางแห่งให้ราคาเหมาะสมสูงถึง 120 บาท

แล้วทำไม ทั้งๆที่นักวิเคราะห์เชียร์กันหนักหนาขนาดนี้ แต่ราคาหุ้นเรียกได้ว่า laggard ค่อนข้างมาก

ประเด็นที่น่าจับตา คือ

1. บทวิเคราะห์ถึงงบไตรมาส 3/61 นั้น นักวิเคราะห์ค่อนข้างจะเสียงแตก บางรายมองว่าไตรมาส 3 มีการ shutdown โรงงานไปด้วย ทำให้กระทบกับรายได้และกำไร และกำไรจะลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่บางรายกลับมองว่า ผลกำไร Q3 จะโตขึ้นกว่าไตรมาส 2 และบางรายก็มองว่า Q3 จะทำรายได้สูงสุด

หลังจากได้เข้าไปอ่านดูรายละเอียดของบทวิเคราะห์แล้ว ก็เห็นว่า ที่แตกต่างกันนั้นอยู่ที่มุมมองอย่างเดียวเลย แม้ว่าข้อมูลต่างๆจะตรงกันก็ตามที

ที่แน่ๆคือ มีการ shutdown อย่างแน่นอน และนักวิเคราะห์ทุกรายรับรู้ตรงจุดนี้

ค่าการกลั่นเป็นช่วง low season ซึ่งเป็นไตรมาสที่ต่ำอยู่แล้ว แต่มาพลิกฟื้นขึ้นในช่วงเดือนสุดท้ายของไตรมาส

สเปรดผลิตภัณฑ์สายโอเลฟินส์นั้น อ่อนตัวลง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

สเปรดผลิตภัณฑ์สายอะโรเมติกส์โตขึ้นมากในส่วนของ พาราไซลีน ทั้ง QoQ และ YoY ส่วน Benzene ดีขึ้น QoQ แต่แย่ลง YoY

ด้วยค่า EV/EBITDA ที่ต่ำ อีกทั้งราคาปัจจุบันเทรดกันที่ค่า P/E ปี 2561 ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวอยู่พอสมควรด้วย ทำให้ทุกโบรกเลือกหุ้นตัวนี้เป็น Top Picks

เพียงแต่ต่างกันตรงเรื่องของ timing ในการเข้าซื้อ ที่บางโบรกแนะนำให้รอให้งบ Q3 ที่คาดว่าจะแย่ลง ออกมาเสียก่อนแล้วค่อยเข้าซื้อ เพื่อรอการฟื้นตัวในไตรมาส 4 แต่บางโบรกก็ไม่ได้ให้รอ และมองว่าให้ซื้อเล่นเป็น laggard play เพราะเป็นหุ้นกลุ่มหลักที่ยังขยับตัวขึ้นได้ช้ากว่าตัวอื่นๆ

2. เป็นที่น่าตกใจกับตัวเลขการซื้อขาย NVDR ของหุ้น PTTGC

ผมลองนั่งดูตัวเลขย้อนหลัง นับตั้งแต่การซื้อขายวันที่ 14/9/61 ย้อนไปถึง 26/6/61 หรือเป็นเวลา 51 วันทำการ

NVDR โชว์ยอดซื้อสุทธิเพียงแค่ 9 วันทำการเท่านั้น และมี 6 วันทำการที่มียอดซื้อสุทธิเกิน 100 ล้านบาท

ในขณะที่ยอดขายสุทธิสูงถึง 42 วันทำการ และเป็นการขายสุทธิที่สูงกว่า 100 ล้านบาทถึง 32 วันทำการ และยอดส่วนใหญ่อยู่ในระดับขายสุทธิ 200 - 300 ล้านบาททั้งนั้น

แสดงว่า ระยะเวลาราว 2 เดือนครึ่งที่ผ่านมานั้น PTTGC นับเป็นหุ้นที่ต่างชาติเทขายออกมาอย่างต่อเนื่อง

แต่ราคาหุ้นนั้นไม่ได้ปรับตัวลงตามการขายของต่างชาติ คงเป็นเพราะได้แรงหนุนจากการซื้อของนักลงทุนสถาบัน

หากดูยอดการถือครองหุ้นของ NVDR นั้น ถ้าเทียบข้อมูลวันที่ 3/8/61 (ต้นเดือนสิงหาคม) กับวันที่ 14/8/61 เฉพาะหุ้นในกลุ่ม ปตท 4 ตัวคือ PTT PTTEP PTTGC และ TOP

PTT ถือครองเพิ่มจาก 7.67 เป็น 7.7%
PTTEP ถือครองเพิ่มจาก 8.72 เป็น 8.84%
TOP ถือครองลดลงจาก 17.45% เหลือ 15.63%
PTTGC ถือครองลดลงจาก 13.95% เหลือ 12.73%

ดังนั้นจึงมีบทวิเคราะห์บางโบรกมองว่า ทั้ง TOP และ PTTGC เป็นหุ้นที่มีความน่าสนใจในแง่ที่มีโอกาสที่จะมีแรงซื้อหุ้นกลับจากนักลงทุนต่างชาติกลุ่มที่ได้ขายหุ้น 2 ตัวนี้ออกไปก่อนหน้านี้

แต่สิ่งที่ผมยังแปลกใจก็คือ ทำไมนักวิเคราะห์ถึงทำตัวเลขกำไรแตกต่างกันมาก เพราะจะว่าไปแล้วข้อมูล spread ราคาของผลิตภัณฑ์ก็น่าจะเป็นข้อมูลที่ตรงกัน ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ต้นไตรมาสจนถึงวันนี้ก็น่าจะเป็นตัวเลขเดียวกัน และนี่ก็เหลืออีกเพียง 2 สัปดาห์ก็จะหมดไตรมาสแล้ว การคาดการณ์ spread เฉลี่ยของผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดน่าจะออกมาไม่แตกต่างกันมากนัก

หรือว่าบทวิเคราะห์ที่ออกมาตอนต้นเดือนกันยายนนั้น นักวิเคราะห์ยังไม่อยากที่ปรับตัวเลข และอยากรอดูความชัดเจนจนสิ้นไตรมาสอีกครั้งหนึ่ง

งานนี้ก็คงเป็นการวัดกึ๋นนักวิเคราะห์เรื่องการคาดการณ์สมมติฐานกันอีกครั้งหนึ่ง

แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องเข้าใจก็คือ สเปรดผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในระยะหลังนี้ คาดการณ์ได้ยากมาก เนื่องจากราคาน้ำมันที่ค่อนข้างจะผันผวน ซึ่งต้นทุนการผลิตปิโตรเคมีขั้นต้นนั้นส่วนใหญ่ก็อิงจากราคาน้ำมัน แต่อาจมี lag time อยู่บ้าง

ไม่ต่างกับการประเมินความต้องการของตลาดที่เริ่มมีความไม่แน่นอนจากเรื่องสงครามการค้าที่อาจกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในภาพรวม

การประเมินหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมีจึงค่อนข้างยากกว่าเมื่อก่อนที่ cycle ของอุตสาหกรรมจะค่อนข้างเป็นรอบยาวๆ

คงต้องมาดูกันต่อไปว่า หากราคาหุ้น PTT PTTEP ปรับขึ้น และมีการซื้อกลับจากนักลงทุนต่างชาติอีกทั้งการเข้าซื้อของนักลงทุนสถาบันในประเทศไปแล้ว

หุ้นตัวอื่นในกลุ่ม PTT โดยเฉพาะ PTTGC กับ TOP ที่เป็น Top Picks ของบรรดานักวิเคราะห์ทึั้งหลาย จะสามารถขยับขึ้นตามไปและเป็นขาขึ้นรอบใหม่ได้หรือไม่

แต่ที่แน่ๆ ตั้งแต่ต้นปีมานี้ ความโดดเด่นของตลาดหุ้นไทย ตกไปอยู่ที่หุ้นขนาดใหญ่และหุ้นขนาดกลางบางตัวเท่านั้น ในขณะที่หุ้นตัวเล็กๆน้อยๆนั้น มีตัวที่โดดเด่นขึ้นมาน้อยมาก

และเชื่อว่า หากนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันยังคงเป็นกลุ่มที่ชี้นำทิศทางของตลาดอยู่ การซื้อขายก็น่าจะกระจุกตัวอยู่ในหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลางบางตัวต่อไป

การเข้าซื้อหุ้นหลังจากหุ้นแถวหนึ่งขึ้นไปแล้ว อาจเลี่ยงมาซื้อหุ้นแถวสองได้บ้าง แต่โอกาสที่ "หุ้นแถวสาม แถวสี่" จะตามมานั้น ยังไม่น่าจะใช่สำหรับช่วงนี้

เหมือนกับที่หลายคนตั้งคำถามว่า หุ้นขึ้น 2 วัน 40 จุด ทำไมพอร์ตไม่ดีขึ้นเลย

นั่นก็เพราะ ในพอร์ต ไม่มีหุ้นแถวหนึ่ง หรือแถวสองอยู่เลย นั่นเอง


คนเล่นหุ้น