ห้องเม่าปีกเหล็ก

จับตา 4 หุ้นดาวเด่นกลุ่มรับเหมาฯ

โดย STEELBAR
เผยแพร่ :
233 views

จับตา 4 หุ้นดาวเด่นกลุ่มรับเหมาฯ

ลุ้นข่าวดีรัฐเคาะโครงการใหญ่ 5 แสนล้านบาท

 

 

.

ในปี 2566 ถือเป็นปีที่ใครหลายๆคนจับสถานการณ์การเลือกตั้งอย่างใกล้ชิด ด้วยสัญญาณต่างๆ ที่ถูกส่งออกมาไม่ว่าจะเป็น กกต. ประกาศแบ่งเขตเลือกตั้ง ,การประกาศใช้กฎหมายลูกเลือกตั้งทั้งสองฉบับ ,การประชุมสภาที่ส่อแววล่มมาโดยตลอด และอาจนำไปสู่การยุบสภา

.

อย่างไรก็ดีถึงแม้ว่าจะมีการเลือกตั้งที่จ่อเข้ามาเรื่อยๆ แต่รัฐบาลชุดเก่าเองก็ยังคงส่งแผนการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดเตรียมนำแผนงานโครงการด้านทรัพยากรน้ำ อย่างน้อย 6 โครงการ เข้าสู่ที่ประชุม ครม. ในเร็ว ๆนี้ รวมงบประมาณและเงินกู้ ที่จะดำเนินการระหว่างปี 2567 - 2571 วงเงิน 155,087 ล้านบาท

.

ดังนั้นจึงทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนกลุ่มเหมาก่อสร้าง หรือเริ่มตั้งคำถามขึ้นจะเป็นเวลาที่จะเข้าลงทุนในกลุ่มดังกล่าวหรือไม่ ในวันนี้ทาง Wealthy Thai จึงได้ทำการรวบความคิดเห็นและมุมมองการลงทุนจากผู้เชี่ยวชาญมาแบ่งปันให้แก่ผู้อ่านและนักลงทุนที่สนใจ

.

โดยบทวิเคราะห์จาก บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้มุมมองว่า การเร่งอนุมัติโครงการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน ก่อนการหมดวาระของรัฐบาลปัจจุบัน เป็นประเด็นติดตาม นอกจากโครงการเดิมที่ภาครัฐพยายามผลักดัน เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงส่วนต่อขยาย / รถไฟความเร็วสูงไทย-จีนเฟส 2 รถไฟทางคู่เฟส 2 ฯลฯ วงเงินโดยรวม 5 แสนล้านบาท ซึ่งงบประมาณบริหารจัดการน้ำค่อนข้างมีความสำคัญและมีความจำเป็นค่อนข้างมากซึ่งติดตามการประชุมครม. ในทุกครั้ง อาจมีโครงการที่ภาครัฐมีการอนุมัติได้ทันก่อนการหมดวาระ

.

ทั้งนี้ให้น้ำหนักการลงทุนเท่ากับตลาด คาดก่อนหมดวาระของรัฐบาลปัจจุบัน คาดว่ามีโอกาสเห็นการอนุมัติโครงการ 1-2 โครงการเป็นอย่างน้อย ขณะที่คาดหลังการเลือกตั้ง จะเห็นรัฐบาลชุดใหม่ให้ความสนใจการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันการเติบโตของภาวะเศรษฐกิจ

.

ขณะที่ระหว่างปีอาจมีความล่าช้าในการอนุมัติงบประมาณจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ต่างจากผลประกอบการในปี 2566 ของกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของผลประกอบการโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังปี 2566 ซึ่งเกิดจากความคืบหน้าของงานใหม่ของกลุ่มที่ได้รับก่อนหน้าทั้งจากรถไฟฟ้าสายสีม่วงส่วนต่อขยาย รถไฟ ทางคู่ งานทางด่วน ฯลฯ

.

ดังนั้นแนะนำนักลงทุนที่สนใจให้เริ่มทยอยสะสม โดยมีหุ้นที่น่าสนใจ ประกอบไปด้วย CK ราคาเป้าหมายที่ 28 บาท , STEC ราคาเป้าหมายที่ 15 บาท ,PYLON ราคาเป้าหมายที่ 5.10 บาท และSEAFCO ราคาเป้าหมายที่ 4.30 บาท

.

โดย CK แม้ระยะสั้นระดับราคาอาจมีผลกระทบจากผลประกอบการไตรมาส 4/65 ที่อาจไม่สดใส อย่างไรก็ดีมีปัจจัยหนุนการเพิ่มขึ้นของงานในมือ จากโครงการใหม่ที่อยู่ระหว่างเซ็นสัญญา จากรถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนต่อขยายและงานหลวงพระบาง

.

ขณะเดียวกันยังมีงานโครงการอื่นที่คาดมีโอกาสเข้าประมูลและมีโอกาสได้รับงาน เช่น งานทางด่วนกระทู้-ป่าตองวงเงิน 1.4 หมื่นล้านบาท และโครงการทางพิเศษขั้นที่ 2 วงเงินก่อสร้าง 3.5 หมื่นล้านบาท จึงประมาณการกำไรปกติของ ปี 2566 ที่ 1.2 พันล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 29% และให้ราคาเป้าหมายที่ 28 บาท

.

ด้าน STEC คาดผลกระทบจากราคาวัตถุดิบเริ่มคลี่คลายตามทิศทางเดียวกับเงินเฟ้อ ขณะที่ปัญหาคนงานขาดแคลน ที่ได้รับการแก้ไขสามารถนำเข้าแรงงานต่างประเทศได้ ทำให้ความคืบหน้าของงานทำได้เป็นปกติ คาดผลประกอบการในปี 2566 จะกลับมาฟื้นตัวและเติบโต คาดกำไรปกติที่ 923 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 33% มาจากการรับรู้รายได้ 3.3 หมื่นล้านบาท จึงให้ราคาเป้าหมายที่ 15 บาท

.

ขณะที่ PYLON บทวิเคราะห์ของบล.กสิกรไทย ให้คำแนะนำ “ถือ” และลดราคาเป้าหมายเป็น 4.97 บาท โดยปัจจัยเพิ่มตัวคูณมูลค่าหุ้น ได้แก่ ความต้องการสำหรับโครงการอาคารสูงที่เพิ่มขึ้น ,ส่วนแบ่งทางการตลาดที่สูงขึ้นของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงและโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มและการแข่งขันด้านการประมูลที่รุนแรงน้อยลง สำหรับประมาณกำไรปี 2566 อยู่ที่ 166 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 43%

.

สุดท้าย SEAFCO บทวิเคราะห์บล. เอเซีย พลัส ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายที่ 4.92 บาท ถึงแม้ว่าผลประกอบการงวดไตรมาส 4/65 จะยังคงขาดทุน แต่ก็เป็นการขาดทุนที่ลดลงอย่างมีนัยสําคัญพร้อมกับเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอัตรากำไรขั้นต้นที่เริ่มพลิกกลับมาเป็นบวกในรอบ 5 ไตรมาส, จํานวนแรงงานที่มีเพียงพอกับเครื่องจักรในมือ

.

จึงเชื่อมั่นว่าจะพลิกกลับมาเป็นกําไรได้ตั้งแต่ไตรมาส 1/66 เป็นต้นไป เนื่องจากจะรับรู้รายได้โครงการ North Pole ของเครือเซ็นทรัลและโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ซึ่งมีมูลค่ารวมกันกว่า 1.2 พันล้านบาท และมีระยะเวลาดําเนินการรวมกันเกือบ 9 เดือนพร้อมกับมีโอกาสที่จะเข้าไปรับงานภาครัฐอย่าง ทางด่วน รังสิต-บางปะอิน, ทางด่วนกะทู้-ป่าตอง รวมไปถึงโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก จึงประเมินกำไรสุทธิปี 66 จะอยู่ที่ 173 ล้านบาท พลิกกลับมามีกำไรจากปีก่อนขาดทุน 149 ล้านบาท

 

 


STEELBAR