บิตคอยน์ร่วงหนักลบล้างที่ขึ้นมาทั้งปี ท่ามกลางตลาดหมีคริปโท
By วิชิต ใจตรง
บิตคอยน์ร่วงแรงลบล้างราคาที่พุ่งขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี หลังตลาดหมีคริปโทลึกขึ้น ความตื่นเต้นต่อท่าทีสนับสนุนคริปโทของรัฐบาลทรัมป์เริ่มจางลง การปรับฐานของหุ้นเทคฯ
บลูมเบิร์ก รายงานว่าเพียงแค่เดือนกว่าๆ หลังจากที่บิตคอยน์ทำสถิติสูงสุดใหม่ตลอดกาล บิตคอยน์กลับร่วงลงรุนแรงจนลบล้างราคาที่ปรับขึ้นมามากกว่า 30% นับตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากกระแสความตื่นตัวต่อท่าทีสนับสนุนคริปโทของรัฐบาลทรัมป์เริ่มจางลง ประกอบกับหุ้นเทคโนโลยีที่เคยร้อนแรงในระยะนี้ราคาเริ่มชะลอลง ส่งผลให้ความต้องการรับความเสี่ยงโดยรวมในตลาดลดลง
สกุลเงินคริปโทตัวหลักร่วงต่ำกว่าระดับ 93,714 ดอลลาร์ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ดันราคาลงต่ำกว่าระดับปิดของปลายปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงตลาดการเงินกำลังฟื้นตัวจากชัยชนะของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเลือกตั้ง โดยบิตคอยน์พุ่งขึ้นทำสถิติที่ 126,251 ดอลลาร์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ก่อนจะเริ่มร่วงลงหลังจากนั้นเพียง 4 วัน จากคำกล่าวเกี่ยวกับภาษีของทรัมป์ที่สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดทั่วโลก
“ตลาดตอนนี้เลือกความปลอดภัยมากกว่าความเสี่ยง” แมทธิว โฮแกน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Bitwise Asset Management ในซานฟรานซิสโก กล่าว “คริปโตเป็นเหมือนนกคีรีบูนในเหมืองถ่านหิน มันเป็นสินทรัพย์แรกที่แสดงออกถึงความกลัว”
ตลอดเดือนที่ผ่านมา ผู้ซื้อรายใหญ่หลายราย ตั้งแต่กองทุนรวมดัชนี( ETF) ไปจนถึงฝ่ายการเงินของบริษัทใหญ่ ต่างค่อยๆ ถอยออกจากตลาดอย่างเงียบๆ ส่งผลให้ขาดแรงหนุนที่เคยช่วยดันราคาบิตคอยน์ขึ้นสู่จุดสูงสุดในต้นปีนี้
ในปีนี้ สถาบันต่างๆ ถือเป็นกระดูกสันหลังของความน่าเชื่อถือและราคาบิตคอยน์ กองทุน ETF ทั้งกลุ่มระดมทุนได้มากกว่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ อ้างอิงข้อมูลจาก Bloomberg ดันมูลค่าสินทรัพย์ขึ้นสูงถึงประมาณ 1.69 แสนล้านดอลลาร์ การไหลเข้าของเงินทุนเหล่านี้ช่วยสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้บิตคอยน์ในฐานะเครื่องมือกระจายความเสี่ยงในพอร์ต ป้องกันเงินเฟ้อ การด้อยค่าของเงิน และความวุ่นวายทางการเมือง แต่เรื่องราวเหล่านี้ซึ่งไม่มั่นคงแต่แรก กำลังเริ่มสั่นคลอน ทิ้งตลาดไว้กับความไม่แน่นอนจากการถอนตัวเงียบๆ ซึ่งอาจสร้างความปั่นป่วนได้ไม่น้อย
"การเทขายครั้งนี้เป็นผลของหลายปัจจัยบรรจบกัน ทั้งการทำกำไรของผู้ถือระยะยาว การไหลออกของสถาบัน, ความไม่แน่นอนด้านมหภาค และการล้างพอร์ตของผู้ถือครองที่ใช้เลเวอเรจ” เจค เคนนิส นักวิเคราะห์วิจัยอาวุโสที่ Nansen กล่าว "ที่ชัดเจนคือ หลังจากช่วงพักฐาน/แกว่งตัวในกรอบมาเป็นเวลานาน ตลาดได้เลือกทิศทางลงชั่วคราว"
หนึ่งในตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดของ “การหยุดซื้อ” ในชุมชนสินทรัพย์ดิจิทัลมาจาก Strategy Inc ของไมเคิล เซย์เลอร์ บริษัทซอฟต์แวร์ที่ผันตัวเป็นผู้สะสมบิตคอยน์รายใหญ่ อดีตเคยเป็นตัวอย่างชูโรงของกลยุทธ์คริปโทในฝ่ายคลังของบริษัทจดทะเบียน แต่ตอนนี้หุ้นของบริษัทกำลังซื้อขายในระดับที่แทบจะเท่ากับมูลค่าคลังบิตคอยน์ของตนเอง เป็นสัญญาณว่านักลงทุนไม่พร้อมจะจ่ายพรีเมียมให้กับโมเดลการใช้เลเวอเรจที่มั่นใจสูงของเซย์เลอร์อีกต่อไป
- ความเชื่อมั่นต่อเงินคริปโทลดลง
วงจรขึ้นและลงรุนแรงของตลาดคริปโทเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า นับตั้งแต่บิตคอยน์โด่งดังในกระแสหลักด้วยการพุ่งขึ้นกว่า 13,000% ในปี 2017 ก่อนจะร่วงลงเกือบ 75% ในปีถัดมา
“ความรู้สึกของกลุ่มนักลงทุนรายย่อยในคริปโทตอนนี้ค่อนข้างติดลบ” โฮแกน กล่าว เขามองว่าการปรับฐานครั้งนี้เป็นโอกาสในการซื้อ “พวกเขาไม่ต้องการเผชิญกับการร่วงลงอีก 50% จึงชิงถอนตัวออกจากตลาดไปก่อน”
บิตคอยน์สร้างความปั่นป่วนให้กับนักลงทุนตลอดปี โดยร่วงลงต่ำถึงระดับ 74,400 ดอลลาร์ในเดือนเมษายนหลังจากทรัมป์ประกาศขึ้นภาษี ก่อนจะดีดตัวขึ้นสู่จุดสูงสุดใหม่ และเพิ่งถอยตัวลงอีกครั้งเมื่อไม่นานนี้ สินทรัพย์ดิจิทัลดั้งเดิมนี้คิดเป็นเกือบ 60% ของมูลค่าตลาดคริปโททั้งหมดประมาณ 3.2 ล้านล้านดอลลาร์
ภาวะขาลงในตลาดกระทบหนักยิ่งกว่านั้นกับโทเคนขนาดเล็กที่มีสภาพคล่องต่ำ ซึ่งนักเทรดมักให้ความสนใจเพราะมีความผันผวนสูงและมักทำผลตอบแทนได้ดีในช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้น ดัชนี MarketVector ซึ่งติดตามคริปโท 100 อันดับล่างสุด ร่วงลงประมาณ 60% ในปีนี้
"ตลาดมีขึ้นมีลงเป็นปกติ และความเป็นวัฏจักรในคริปโทไม่ใช่เรื่องใหม่" คริส นิวเฮาส์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยที่ Ergonia บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) กล่าว แต่ "จากที่คุยกับเพื่อน ๆ แชตใน Telegram และตามงานประชุมสัมมนา ความรู้สึกโดยรวมที่ผมได้รับคือมีความสงสัยต่อการนำเงินไปลงทุน และไม่มีปัจจัยหนุนฝั่งขาขึ้นตามธรรมชาติ"
ที่มา… https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1207912