Deal-Politik: กลยุทธ์อัจฉริยะ หรือกลลวงระดับโลก? | Podcast Available
โดนัลด์ ทรัมป์ ได้สร้างปรากฏการณ์ในการทูตระหว่างประเทศด้วยแนวทางที่หลายคนเรียกว่า “Deal-Politik” หรือการเมืองแบบเน้นดีลเป็นหลัก แนวทางนี้แตกต่างจากผู้นำสหรัฐฯ แบบดั้งเดิมอย่างเห็นได้ชัด เพราะทรัมป์ให้ความสำคัญกับการต่อรองผลประโยชน์มากกว่ายึดมั่นในคุณค่าและหลักการสากล วันนี้แอดจะพาไปดูกันว่า “Deal-Politik” ของทรัมป์มีลักษณะเป็นแบบไหน และสร้างความปั่นป่วนด้านไหนบ้างค่ะ

ดีลมาก่อนอุดมการณ์: ผลประโยชน์เหนือค่านิยมและหลักการ
รัฐบาลทรัมป์ยึดหลักว่า “ผลประโยชน์ต้องมาก่อน” ในเวทีโลก ดังนั้นนโยบายต่างประเทศของเขาจึงมีลักษณะเป็นการค้าและการต่อรองอย่างตรงไปตรงมา ทรัมป์เคยอวดอ้างด้วยตนเองว่าเขานำแนวคิด “Transactional” หรือการเมืองเชิงการค้ามาใช้ในความสัมพันธ์กับผู้นำโลก นั่นคือเน้นแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เป็นหลัก และหลายชาติก็ดูจะพร้อมสนองตอบในสิ่งที่ทรัมป์ต้องการเพื่อให้ได้ข้อตกลงตามที่เขาพอใจ
แนวคิดนี้หมายความว่าประธานาธิบดีทรัมป์ให้ความสำคัญกับ ดีลทางเศรษฐกิจ เช่น ข้อตกลงการค้า การลงทุน หรือตัวเลขเม็ดเงิน มากกว่าจะให้ความสำคัญกับ ค่านิยมและหลักการ แบบเดิมที่สหรัฐฯ เคยยึดถือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการส่งเสริมประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หรือหลักนิติธรรมในต่างประเทศ
ผลที่ตามมาคือ สหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์มักลดบทบาทการเป็นผู้นำเชิงคุณค่า แต่ไปเพิ่มบทบาทการเจรจาต่อรองเพื่อผลประโยชน์ทันทีทันใด ตัวอย่างเช่น การเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ทำข้อตกลงการค้าที่เอื้อประโยชน์ต่อสหรัฐฯ มากขึ้น การเจรจาแบ่งภาระค่าใช้จ่ายทางการทหารกับชาติพันธมิตร หรือการพร้อมจะปรับเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศเพื่อแลกกับสิ่งที่ตนมองว่าเป็น “ข้อเสนอที่คุ้มค่า”
การเน้นดีลมากกว่าอุดมการณ์เช่นนี้ทำให้หลายฝ่ายมองว่าทรัมป์กำลังเปลี่ยนทิศทางนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ จากการยืนหยัดบนหลักการมาเป็นการหวังผลเชิงพาณิชย์ แต่ในสายตาผู้สนับสนุน นี่ถือเป็นการ “อเมริกาต้องมาก่อน” อย่างแท้จริง เพราะเขามองว่าทุกประเทศล้วนขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ของตนเอง ดังนั้นสหรัฐฯ ก็ควรทำเช่นนั้นอย่างไม่ต้องลังเลค่ะ
ภาพลักษณ์แทนข้อตกลง: ใช้เวทีและสัญลักษณ์สร้างผลงาน
อีกจุดเด่นของแนวทาง “Deal-Politik” คือ การใช้ภาพลักษณ์และเหตุการณ์เชิงสัญลักษณ์เพื่อสร้างผลลัพธ์ทางการเมือง บ่อยครั้งที่ทรัมป์จัดเวทีเจรจาหรือการพบปะสุดยอดที่ยิ่งใหญ่ตระการตา สร้างข่าวใหญ่ไปทั่วโลก แม้บางครั้งผลลัพธ์ในทางข้อตกลงที่แท้จริงจะน้อยนิดหรือไม่มีเลยก็ตาม ตัวอย่างที่เห็นชัดคือการประชุมสุดยอดระหว่างทรัมป์กับคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ที่สิงคโปร์และฮานอย ทรัมป์ได้สร้างปรากฏการณ์การจับมือครั้งประวัติศาสตร์กับผู้นำเกาหลีเหนือ ท่ามกลางฉากหลังธงชาติสหรัฐฯ เคียงคู่ธงเกาหลีเหนือ ภาพเหล่านี้ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกในทันที เกิดเป็นความหวังใหม่ทางการทูตและยกระดับภาพลักษณ์ของทรัมป์ในฐานะผู้นำที่ “สามารถทำในสิ่งที่ผู้อื่นไม่กล้า”
อย่างไรก็ตาม หลังม่านของเวทีการแสดงนั้น เนื้อหาของดีลจริงกลับบางเบา เช่น ในการพบปะครั้งแรกที่สิงคโปร์ ทั้งสองฝ่ายลงนามในเอกสารแสดงเจตจำนงกว้างๆ แต่ไม่มีข้อผูกมัดที่ชัดเจนเรื่องการปลดอาวุธนิวเคลียร์ ส่วนการประชุมครั้งที่สองที่ฮานอยก็จบลงโดยไม่มีข้อตกลงใดๆ
ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมจึงน้อยมากเมื่อเทียบกับภาพข่าวและคำประกาศอันสวยหรูที่ออกมา สิ่งที่ทรัมป์ทำสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมคือ “ชัยชนะด้านภาพลักษณ์” ที่เขาสามารถจัดฉากให้ตนเองดูเป็นผู้เจรจาสันติภาพและคิดนอกกรอบ แต่คำถามคือภาพลักษณ์เหล่านี้เพียงพอหรือไม่เมื่อปราศจากผลลัพธ์ในทางปฏิบัติจริง? การใช้ภาพลักษณ์แทนดีลจริงอาจให้ประโยชน์ในระยะสั้นทางการเมือง แต่ระยะยาวแล้วปัญหาต่างๆ ยังคงอยู่เช่นเดิม และบางกรณีก็อาจเลวร้ายขึ้นเมื่อไม่มีการแก้ไขที่แก่นแท้
ให้เกียรติศัตรู กดดันมิตร: พลิกตำราการทูตดั้งเดิม
ทรัมป์สร้างความประหลาดใจให้หลายประเทศด้วยการปฏิบัติต่อ “ศัตรู” และ “มิตร” ต่างจากผู้นำคนก่อนๆ อย่างสิ้นเชิง เขามักจะแสดงท่าทีให้เกียรติหรือชื่นชมผู้นำประเทศคู่ปรับของสหรัฐฯ ในอดีต ในขณะที่กลับวิพากษ์วิจารณ์หรือกดดันผู้นำประเทศพันธมิตรที่ใกล้ชิดแทน
ยกตัวอย่างเช่น ทรัมป์กล่าวชมคิม จองอึนว่าเป็นผู้นำที่ “ฉลาด” และ “แข็งแกร่ง” เคยพูดเชิงบวกต่อผู้นำรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน หรือแม้แต่กล่าววาจาดีๆ ต่อสี จิ้นผิง แห่งจีน ในทางกลับกัน เขากลับวิจารณ์ผู้นำยุโรปอย่างเปิดเผย ไม่ว่าจะเป็นการตำหนินางอังเกลา แมร์เคิล อดีตนายกฯ เยอรมนี ว่านโยบายการค้าของเยอรมนี “ไม่แฟร์” ต่อสหรัฐฯ หรือการโจมตีนายจัสติน ทรูโด นายกฯ แคนาดา อย่างดุเดือดหลังการประชุม G7 รวมถึงกดดันชาติพันธมิตรนาโตให้เพิ่มงบประมาณกลาโหมโดยขู่ว่าสหรัฐฯ อาจจะ “ลดบทบาท” หากพันธมิตรไม่ช่วยแบ่งเบาภาระ
แนวทางนี้ทำให้หลายคนเห็นว่าทรัมป์กำลัง “ตีค่าศัตรูมากกว่าพวกพ้อง” และอาจบั่นทอนความไว้วางใจระหว่างสหรัฐฯ กับพันธมิตรดั้งเดิม นักวิเคราะห์บางส่วนที่ไม่เห็นด้วยถึงกับกล่าวหาว่าเขา “ทรยศ” มิตรประเทศและหลักการที่สหรัฐฯ เคยยืนหยัด เช่น การเมินเฉยต่อพันธมิตรเก่าอย่างนาโตหรือยูเครน และไม่ยึดมั่นในประชาธิปไตยหรืออธิปไตยของประเทศเล็กๆ
ในขณะเดียวกัน การยื่นไมตรีหรือคำชมต่อผู้นำเผด็จการฝ่ายตรงข้ามของสหรัฐฯ ก็เท่ากับเปิดพื้นที่ให้คู่แข่งเหล่านั้นได้รับความชอบธรรมบนเวทีโลก คำถามชวนคิดคือ การที่ผู้นำสหรัฐฯ ยกย่องศัตรูและบีบคั้นมิตรจะนำไปสู่อะไร? จะสร้างสมดุลใหม่หรือทำลายสมดุลเดิมในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกันแน่?
ความไม่แน่นอน: เครื่องมือลับในการเจรจาต่อรอง
“ความไม่แน่นอน” หรือความคาดเดาไม่ได้ กลายเป็นเสมือนอาวุธลับในนโยบายต่างประเทศยุคทรัมป์ ทีมงานและผู้สนับสนุนทรัมป์มองว่าการที่ผู้นำอย่างทรัมป์ พลิกจุดยืนไปมา และไม่เผยไต๋ล่วงหน้าให้คู่เจรจาคาดเดาได้ง่ายเป็น “จุดแข็ง” ในการต่อรอง เพราะมันทำให้ประเทศคู่เจรจาไม่กล้าชะล่าใจและต้องยอมโอนอ่อนเพื่อหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์
ทรัมป์เองก็ส่งสัญญาณหลายครั้งว่าเขาชอบให้ต่างชาติ “เดาใจเขาไม่ถูก” เช่น วันนี้ขู่จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้า วันรุ่งขึ้นกลับกล่าวชมผู้นำจีน แล้ววันถัดไปอีกก็ทวีตประกาศยกเลิกการเจรจาอย่างกะทันหัน วิธีการเหล่านี้สร้างความฉงนสนเท่ห์ให้ทั้งศัตรูและมิตร ต่างประเทศไม่มั่นใจว่าจะต้องเจอกับอะไร ซึ่งทรัมป์เชื่อว่าจะทำให้ฝ่ายตรงข้าม “อยู่ไม่เป็นสุข” และยอมมาทำดีลกับเขาในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนนี้ก็เป็นดาบสองคม เช่นเดียวกับที่มันสร้างแรงกดดันให้คู่เจรจา มันก็สร้างความปวดหัวให้พันธมิตรของสหรัฐฯ เองด้วย ชาติพันธมิตรจำนวนมากทั้งในยุโรปและเอเชียรู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถคาดหวังนโยบายหรือคำมั่นสัญญาที่แน่นอนจากวอชิงตันในยุคทรัมป์
การประสานงานระหว่างประเทศที่เคยแน่นแฟ้นกลายเป็นเรื่องยากขึ้นเพราะผู้นำสหรัฐฯ เอาแน่เอานอนไม่ได้ แม้แต่ภายในรัฐบาลสหรัฐฯ เอง เจ้าหน้าที่หลายคนก็ยังสับสนกับสัญญาณที่เปลี่ยนไปมาของทรัมป์ สิ่งนี้อาจลดทอนความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ในสายตาชาวโลกในระยะยาว เพราะไม่มีใครมั่นใจว่าสหรัฐฯ จะรักษาคำพูดหรือยืนหยัดในจุดยืนเดิมได้นานเพียงใด
ลุยเองและใช้คนใกล้ชิด: ช่องทางพิเศษในดีลระดับสูง
ทรัมป์มีสไตล์การเจรจาที่ “ต้องการลงมือเอง” และมักให้คนวงในที่ไว้ใจร่วมวงเจรจาด้วย โดยบางครั้งข้ามขั้นตอนการทูตตามปกติไปเลย เราได้เห็นทรัมป์เข้าพบพูดคุยโดยตรงกับผู้นำต่างชาติในประเด็นใหญ่ๆ หลายครั้ง แทนที่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักการทูตหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ตัวอย่างชัดเจนคือ กรณีเกาหลีเหนือที่ทรัมป์ตัดสินใจพบคิม จองอึนแบบตัวต่อตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก่อนหน้ามองว่า “ให้รางวัล” เกินไปกับผู้นำเผด็จการ แต่ทรัมป์เชื่อว่าการคุยระดับผู้นำโดยตรงจะสร้างดีลได้เร็วและใหญ่กว่า
นอกจากนี้เขายังดึงคนใกล้ชิดของเขาเข้าสู่ภารกิจการทูตระดับสูงหลายเรื่อง เช่น มอบหมายให้จาเร็ด คุชเนอร์ ลูกเขยและที่ปรึกษาคนสำคัญ รับบทบาทผู้เจรจาในแผนสันติภาพตะวันออกกลางและการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับประเทศอาหรับ (ซึ่งต่อมาเกิด “ข้อตกลงอับราฮัม” ที่บางประเทศอาหรับสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอลอย่างเป็นทางการ) รวมถึงบทบาทของคุชเนอร์ในการเจรจากับซาอุดีอาระเบียและกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับในหลายประเด็น
คนใกล้ชิดอีกคนอย่างไมค์ ปอมเปโอ จากผู้อำนวยการ CIA ก็ถูกดึงมาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศเพื่อร่วมทีมที่ทรัมป์ไว้ใจเป็นการเฉพาะ แนวทางการใช้ “ช่องทางพิเศษ” นี้สะท้อนว่าทรัมป์ให้ความสำคัญกับความภักดีและความเชื่อใจส่วนตัวมากกว่ากระบวนการทางการทูตแบบสถาบันดั้งเดิม การเจรจาหลายครั้งจึงเกิดขึ้นผ่านสายสัมพันธ์ส่วนตัวและเครือข่ายคนใกล้ตัวของทรัมป์ ซึ่งก็มีทั้งข้อดีคือการตัดสินใจรวดเร็วและมุ่งผลลัพธ์เป็นหลัก แต่ขณะเดียวกันก็เสี่ยงต่อการมองข้ามรายละเอียดสำคัญและก่อให้เกิดความไม่พอใจในหมู่เจ้าหน้าที่อาชีพที่ถูกกันออกจากกระบวนการ
ผลดี-ผลเสียของ “Deal-Politik” ต่อเศรษฐกิจ การทูต และการเมืองภายใน
เมื่อพิจารณาถึงผลลัพธ์ของแนวทาง “Deal-Politik” ของทรัมป์ เราต้องมองอย่างรอบด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และสถานการณ์การเมืองภายในสหรัฐฯ เอง ซึ่งแนวทางนี้มีทั้งผู้ที่ชื่นชมใน “ข้อดี” และผู้ที่กังวลต่อ “ข้อเสีย” ดังนี้ค่ะ
ผลดีทางเศรษฐกิจ: การเน้นดีลทำให้สหรัฐฯ สามารถรีดเค้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระยะสั้นได้มากขึ้นในบางกรณี หลายประเทศเสนอลงทุนหรือซื้อสินค้าอเมริกันมากขึ้นเพื่อเอาใจทรัมป์ เช่น ซาอุดีอาระเบียเคยให้คำมั่นลงทุนมหาศาลในสหรัฐฯ หรือชาติยุโรปบางประเทศประกาศจะนำเข้าแก๊สธรรมชาติและสินค้าจากอเมริกาเพิ่มขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเจรจาปรับปรุงข้อตกลงการค้าให้เอื้อสหรัฐฯ มากขึ้น (เช่น USMCA ที่มาแทน NAFTA) และผลักดันให้ชาติพันธมิตรนาโตเพิ่มงบกลาโหม ซึ่งผู้สนับสนุนมองว่าเป็นการแบ่งเบาภาระสหรัฐฯ ในเวทีโลกอย่างเป็นธรรม การที่ทรัมป์ไม่เริ่มสงครามใหม่ในช่วงดำรงตำแหน่งก็ถูกยกเครดิตว่าเป็นผลจากแนวทางต่อรองที่แข็งกร้าวของเขาที่ทำให้คู่แข่งเกรงใจในระดับหนึ่ง
ผลเสียทางเศรษฐกิจ: ในทางกลับกัน ความไม่แน่นอนและการเปิดสงครามการค้ากับหลายประเทศกลับสร้างผลกระทบด้านลบต่อเศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯ เอง การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าสินค้าจีนและการตอบโต้จากจีนทำให้ภาคการเกษตรและผู้บริโภคอเมริกันได้รับความเดือดร้อนจากราคาสินค้าที่สูงขึ้น ห่วงโซ่อุปทานโลกปั่นป่วนจากนโยบายกีดกันการค้าของทรัมป์ นักลงทุนและภาคธุรกิจขาดความเชื่อมั่นเพราะคาดเดาทิศทางนโยบายไม่ได้
นอกจากนี้ การที่ทรัมป์มองทุกอย่างเป็นดีลระยะสั้น บางครั้งก็ทำให้มองข้ามผลประโยชน์ระยะยาว เช่น การถอนตัวจากความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) อาจให้ภาพว่าปกป้องเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในทันทีแต่ระยะยาวกลับทำให้สหรัฐฯ เสียโอกาสในการนำและสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจในภูมิภาค
ผลดีทางการทูต: แนวทางที่ไม่เหมือนใครของทรัมป์ทำให้เกิดการเปลี่ยนไพ่บนโต๊ะการทูต ในบางกรณี เขากล้าที่จะพบปะหรือเจรจากับฝ่ายที่ไม่มีใครคาดคิด เช่น ผู้นำเกาหลีเหนือ หรือประธานาธิบดีรัสเซียอย่างเปิดเผย การเขย่าสถานการณ์ที่นิ่งมานานเหล่านี้อาจนำไปสู่โอกาสใหม่ๆ ที่รัฐบาลก่อนหน้าไม่กล้าทำ
นอกจากนี้ การที่ทรัมป์วิจารณ์พันธมิตรออกสื่อก็ส่งผลให้หลายประเทศต้องทบทวนตัวเองและปรับเพิ่มความร่วมมือ (เช่น นาโตที่สมาชิกยอมเพิ่มงบฯ กลาโหม และบางประเทศในยุโรปตะวันออกที่เตรียมรับมือภัยคุกคามเองมากขึ้นเพราะไม่แน่ใจว่าสหรัฐฯ จะช่วยเหลือตลอดไป) ผู้สนับสนุนทรัมป์เชื่อว่าวิธีการของเขาทำให้หลายประเทศ “เกรงใจ” สหรัฐฯ มากขึ้น และยอมอ่อนข้อเพื่อรักษาความสัมพันธ์
ผลเสียทางการทูต: แต่ขณะเดียวกัน นักการทูตและพันธมิตรดั้งเดิมของสหรัฐฯ จำนวนมากมองว่าความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ เสื่อมถอยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ประเทศคู่มิตรเริ่มไม่ไว้วางใจคำรับรองของสหรัฐฯ เพราะทรัมป์ถอนตัวหรือเปลี่ยนใจจากข้อตกลงระหว่างประเทศหลายฉบับอย่างกะทันหัน (เช่น ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน)
ความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ ในเวทีโลกที่เคยตั้งอยู่บนหลักการและพันธสัญญาร่วมกัน ก็ถูกแทนที่ด้วยภาพลักษณ์ของมหาอำนาจที่ใครดีใครได้ ทำให้ประเทศอื่นๆ หันไปจับมือกันเองหรือพึ่งพาคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซียมากขึ้นเพื่อถ่วงดุล นอกจากนี้ การที่ทรัมป์ใกล้ชิดกับผู้นำอำนาจนิยมบางรายโดยไม่วิจารณ์เรื่องสิทธิมนุษยชน ทำให้เสียงเรียกร้องเชิงคุณธรรมของสหรัฐฯ อ่อนกำลังลง และเปิดช่องให้ประเทศเหล่านั้นเดินนโยบายแข็งกร้าวต่อประชาชนหรือเพื่อนบ้านโดยไม่เกรงกลัวการตำหนิจากนานาชาติเท่าเดิม
ผลดีทางการเมืองภายใน: ในเวทีภายในประเทศ สไตล์ “อเมริกาต้องมาก่อน” ของทรัมป์ช่วยกระตุ้นฐานเสียงอนุรักษนิยม และชาตินิยมของเขาอย่างมาก ผู้สนับสนุนจำนวนมากมองว่าทรัมป์ทำตามที่สัญญาไว้ในการหาเสียง คือปกป้องผลประโยชน์ชาวอเมริกันจากการเอาเปรียบของต่างชาติ ภาพลักษณ์ความเป็น “ดีลเมกเกอร์” ที่กล้าเล่นแรงของเขายังสร้างความรู้สึกภาคภูมิใจให้ผู้สนับสนุนว่าอเมริกากลับมายิ่งใหญ่บนเวทีโลกอีกครั้ง
การไม่ยึดติดขนบเก่าๆ ทำให้ทรัมป์ดูเหมือน “คนนอก” ที่เข้ามาปฏิวัติวงการการเมือง นักการเมืองบางคนยกย่องวิธีเจรจาของทรัมป์ว่าเป็นความคิดนอกกรอบที่อาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีกว่าแนวทางแบบเดิมๆ ที่พยายามมากแค่ไหนก็แก้ปัญหาโลกไม่ได้สักที
ผลเสียทางการเมืองภายใน: แต่สำหรับผู้ที่ไม่เห็นด้วย ความปั่นป่วนวุ่นวายในหมู่วงการนโยบายต่างประเทศยุคทรัมป์ถือเป็นภัยต่อประเทศ พวกเขาชี้ว่าการด่วนตัดสินใจโดยไม่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและการมอบงานสำคัญให้คนใกล้ชิดที่ขาดประสบการณ์ลึกซึ้ง (เช่น ให้คุชเนอร์ดูแลตะวันออกกลาง) เป็นการบ่อนทำลายกลไกการทูตแบบมืออาชีพและความต่อเนื่องเชิงนโยบาย
สมัยทรัมป์มีเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศลาออกจำนวนมาก ขวัญกำลังใจในหน่วยงานลดลงเพราะมืออาชีพรู้สึกว่างานของตนไม่ถูกให้ค่า อีกทั้งการตัดสินใจหลายเรื่องของทรัมป์ยังนำไปสู่การเผชิญหน้าทางการเมืองภายในประเทศ เช่น กรณียูเครนที่ทรัมป์ถูกกล่าวหาว่ากดดันผู้นำต่างชาติให้เอื้อประโยชน์ทางการเมืองให้ตัวเอง จนกลายเป็นประเด็นให้สภาผู้แทนฯ ยื่นถอดถอน (impeachment) มาแล้ว
นอกจากนี้ การสร้างความขัดแย้งกับพันธมิตรแบบเปิดเผยยังสร้างแรงกดดันให้สมาชิกสภาคองเกรสบางส่วน (แม้แต่ฝั่งรีพับลิกันเอง) ต้องออกมาท้วงติงเพราะเกรงว่าจะกระทบความมั่นคงของสหรัฐฯ ในระยะยาว กล่าวโดยสรุป ฝ่ายต่อต้านมองว่าวิธีของทรัมป์กำลังทำลายระเบียบโลกเสรีประชาธิปไตยที่สหรัฐฯ เป็นผู้สร้างหลังสงครามโลก และในที่สุดอาจย้อนมาทำลายบทบาทความเป็นผู้นำของอเมริกาเอง
หลังจากพิจารณาทุกมิติแล้ว จะเห็นว่า “Deal-Politik” ของโดนัลด์ ทรัมป์นั้นมีทั้งด้านที่เป็น “โอกาส” และ “ความเสี่ยง” มันเขย่าเวทีการทูตโลกให้ตื่นตัวจากกรอบเดิมๆ สร้างแนวทางใหม่ที่กลุ่มผู้สนับสนุนเชื่อว่าเหมาะสมกับโลกยุคปัจจุบันที่ทุกคนต่างก็แสวงหาผลประโยชน์สูงสุด แต่ในสายตาของอีกฝ่าย มันกำลังบ่อนทำลายระบบพันธมิตรและค่านิยมร่วมที่เคยเป็นรากฐานของความสงบสุขหลังสงครามโลกมาหลายทศวรรษ
แล้วคุณล่ะ คิดว่าแนวทางนี้จะพาโลกไปทางไหน?
ที่มาข้อมูลเนื้อหาจาก.. Beauty Investor