ห้องเม่าปีกเหล็ก

เทียบฟอร์ม 4 ยักษ์ค้าปลีก-ค้าส่งในตลาดหุ้นไทย

โดย ฮ นกฮูก
เผยแพร่ :
207 views

เทียบฟอร์ม

4 ยักษ์ค้าปลีก-ค้าส่งในตลาดหุ้นไทย

ความสามารถทำกำไรเด่นแค่ไหน?

.

ก่อนอื่นต้องอธิบายกันก่อนว่า Net Profit Margin หรือ อัตรากำไรสุทธิ จะเป็นการบอกความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ว่ามีกำไรสุทธิคิดเป็นสัดส่วนเท่าไรจากรายรับทั้งหมดของบริษัท หรือว่าง่ายๆก็คือ รายได้ทั้งหมดที่บริษัทได้รับเมื่อหักต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายต่างๆ ดอกเบี้ยและภาษีจะเหลือเป็นกำไรสุทธิทั้งหมดเท่าไหร่

.

ดังนั้น Wealthy Thai จะพานักลงทุนมาสำรวจดูว่า บริษัทค้าปลีก ค้าส่ง เจ้าตลาดของไทย ใครจะมีความสามารถในการทำกำไรมากกว่ากัน?

.

เริ่มที่ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL รายงานผลประกอบการงวดครึ่งแรกของปี 66 มีรายได้รวม 4.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 8,561 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะธุรกิจร้านสะดวกซื้อที่ปรับตัวดีขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น โดยมีอัตรากำไรสุทธิ 2.20%

.

ส่วนอนาคตของ CPALL นั้น นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 76 บาท พร้อมทั้งเลือกให้เป็นหุ้นเด่นกลุ่มค้าปลีกคู่กับ DOHOME เพราะทิศทางกำไรครึ่งหลังปีนี้จะฟื้นเด่นต่อทั้งร้านสะดวกซื้อและค้าปลีก (CPAXT)

.

โดยหนุนกำไรทั้งปีจะโต 29% ดีกว่ากลุ่มค้าปลีกที่คาดโต16% ขณะที่ Valuation อยู่ในโซนถูก มองเป็นจังหวะซื้อลงทุน เพื่อรับการเติบโตของกำไรไตรมาส 4/66 ที่จะโตเด่นทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน

.

ต่อกันที่ CPAXT หรือ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 2.4 แสนล้านบาท เติบโต 5.1% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมียอดขายรวมเท่ากับ 230,024 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.7% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เพราะได้แรงหนุนจากการเติบโตของรายได้จากการขายของกลุ่มธุรกิจค้าส่ง 10.1% โดยมีกำไรสุทธิ 3,682 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.6% จากช่วง เดียวกันของปีก่อน และมีอัตรากำไรสุทธิ 1.51%

.

ส่วนอนาคตของ CPAXT นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ยังแนะนำ ซื้อ ให้มีราคาเป้าหมายที่ 38 บาท เพราะประเมินว่ากำไรสุทธิได้ผ่านจุดแย่สุดไปแล้วตั้งแต่ไตรมาส 2/66

.

โดยคาดว่างบไตรมาส 3/66 ฟื้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน หลังจากดอกเบี้ยจ่ายลง ส่วนไตรมาส 4/66 เข้าสู่ High season และ valuation ดูน่าสนใจ จึงมองเป็นจังหวะทยอยซื้อลงทุน

.

ถัดมา บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ครึ่งแรกปีนี้มีรายได้รวม 1.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.9% มีกำไรสุทธิ 3,735.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีอัตรากำไรสุทธิ 3.25%

.

อนาคตของ CRC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ให้น้ำหนักการเติบโตกำไรจะเด่นขึ้นอีกครั้งในปี 67 เป็น 9.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อนหน้า หลังธุรกิจในเวียดนามฟื้นเต็มตัว, เริ่มรับรู้รายได้สาขาหรือ format ใหม่และผลบวกจากต้นทุนค่าไฟขาลงเต็มปี และยังคงคำแนะนำ “ซื้อลงทุน” มีราคาเป้าหมาย 46 บาท

.

ปิดท้ายกันที่ BJC บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ซึ่งในครั้งนี้เราจะพาเข้าไปเจาะงบ Big C ที่เป็นบริษัท Flagship ด้านธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ และธุรกิจค้าส่งและสนับสนุนการค้าปลีกแบบดั้งเดิมของ BJC

.

โดยข้อมูลงบครึ่งปีแรก 66 พบว่า Big C หรือ กลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ มีรายได้รวม 56,898 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.1% และมีกำไรสุทธิ 1,908 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.9% โดยมีอัตรากำไรสุทธิ 3.8%

.

Big C ปัจจุบันได้เลื่อนแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นออกไปก่อน เพราะสถานการณ์ตลาดทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่มีความผันผวนจากสภาวะเศรษฐกิจโลกโดยรวม ส่วนพื้นฐานของ BJC นักวิเคราะห์นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ยังแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 38 บาท

.

โดยนักวิเคราะห์คาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ BJC ในไตรมาส 3/66 จะอยู่ที่ 1.1 พันล้านบาท ลดลง 8% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นช่วง low season ซึ่งจะเป็นช่วงที่ยอดขายลดลง 5% จากไตรมาสก่อน

.

ในส่วนของ Big C (64% ของสัดส่วนรายได้) คาดการณ์ว่าการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) จะอยู่ที่ 2% และสำหรับธุรกิจอื่น (บรรจุภัณฑ์, อุปโภคบริโภค รวมถึงเวชภัณฑ์ และเภสัชภัณฑ์) ก็จะมีการเติบโตในระดับเดียวกันอีกด้วย

 

 


ฮ นกฮูก