3 หุ้นนางฟ้ากำลังติดปีก! DDD อาจครองแชมป์กำไรโตสูงสุด
หากย้อนกลับไปในอดีตที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มสินค้าความงามได้รับความนิยมกันอย่างมาก ทั้งในแง่ของผลประกอบการที่เติบโตอย่างโดดเด่น ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทำให้นักลงทุนได้ฝากความหวังไว้กับหุ้นเหล่านี้ และในขณะนั้น ทุกคนต่างก็เรียกกันว่า เป็นหุ้นนางฟ้า เพราะเทรนด์ดูแลตนเองและความสวยความงามของผู้หญิงที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้นักลงทุนคาดการณ์หุ้นกลุ่มนี้จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง
แต่ในขณะนั้นเวลาผ่านไปไม่นาน ก็มีแรงกดดันเข้ามากระทบต่อหุ้นกลุ่มนี้ ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง และล่าสุดก็ยังไม่สามารถกลับไปจุดเดิมได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นแรงกดดันจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีการปราบปรามผลิตภัณฑ์ที่ผิดกฎหมาย ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้เครื่องสำอางมากขึ้น รวมทั้งได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าหุ้นกลุ่มนี้จะเริ่มเข้าสู่จังหวะที่สดใสมากขึ้น เพราะล่าสุดนักวิเคราะห์ออกมาประเมินว่า ในระยะใกล้ ปัจจัยสนับสนุนการเติบโต ได้แก่ 1.การเปิดเศรษฐกิจ และ 2.ยอดขายส่งออกที่แข็งแกร่งขึ้น ส่วนในระยะกลางเชื่อว่ารูปแบบการลงทุนที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องสำอางจะมาจากความต่อเนื่องของการเติบโตในต่างประเทศและนักท่องเที่ยวขาเข้าซึ่งคาดว่าจะถึงระดับก่อนเกิด Covid-19 ในปี 2567
สะท้อนจากมุมมองของนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คาดว่าบริษัทในกลุ่มเครื่องสำอางทั้ง 3 แห่งที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์จะรายงานกำไรปกติในไตรมาส 2/2565 รวมที่ 96.6 ล้านบาท เทียบกับผลขาดทุนปกติไตรมาส 2/2564 ที่ 15 ล้านบาท และกำไรปกติไตรมาส 1/2565 ที่ 95.6 ล้านบาท จากการฟื้นตัวของการใช้เครื่องสำอางจากตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยคาดว่า DDD จะรายงานกำไรที่เติบโตขึ้นมากที่สุดในไตรมาส 2/2565 จากการเติบโตของกำไรปกติระดับสูงและอัตรากำไรปกติที่ขยายตัวขึ้น
BEAUTY คาดว่า BEAUTY จะรายงานผลขาดทุนปกติไตรมาส 2/2565 ที่ 4 ล้านบาท เทียบกับผลขาดทุนปกติไตรมาส 2/2564 ที่ 35 ล้านบาท และไตรมาส 1/2565 ที่ 3 ล้านบาท โดยกำไรที่ดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน น่าจะมาจากรายได้ไตรมาส 2/2565 ที่คาดเพิ่มขึ้น 39.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเปิดเศรษฐกิจใหม่และยอดขายส่งออกที่กลับเข้ามา
ส่วนการดำเนินงานที่ลดลงจากไตรมาสก่อน น่าจะมาจากผลกระทบตามฤดูกาลของยอดขายส่งออก เมื่อรวมกับผลขาดทุนปกติไตรมาส 1/2565 แล้ว ประมาณการผลขาดทุนปกติในครึ่งปีแรกที่ 7 ล้านบาท ยังต่ำกว่าประมาณการกำไรปกติของฝ่ายวิจัยในปี 2565 ที่ 67 ล้านบาท ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงขาลงต่อประมาณการกำไรของฝ่ายวิจัย ขณะที่ปีก่อนมีผลขาดทุนสุทธิ 80.77 ล้านบาท แนะนำ Neutral ราคาเป้าหมาย 1.30 บาท
DDD มีกำหนดจะรายงานงบการเงินไตรมาส 2/2565 ในวันที่ 11 ส.ค.คาดว่าบริษัทจะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/565 ที่ 37 ล้านบาทดีขึ้นจากผลขาดทุนสุทธิในไตรมาส 2/2564 ที่ 142 ล้านบาท จากการฟื้นตัวของยอดขายทั้งในประเทศและส่งออก แต่คาดลดลง 28.6%จากไตรมาสก่อน จากกำไรที่คาดว่าจะลดลงจากการประเมินมูลค่าการลงทุนใหม่ โดยคาดกำไรสุทธิทั้งปี 2565 ที่ 163 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 81.32 ล้านบาท แนะนำ Neutral ราคาเป้าหมาย 14.73 บาทKAMART คาดว่าจะรายงานงบการเงินไตรมาส 2/2565 ในวันที่ 11 ส.ค. โดยคาดว่าจะรายงานกำไรสุทธิที่ 68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 340%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 2.1% จาก
ไตรมาสก่อน ปัจจัยหนุนการเติบโตเชิงช่วงเดียวกันของปีก่อนคาดจะมาจากการฟื้นตัวของยอดขายที่แข็งแกร่งจากการเปิดเศรษฐกิจ ในขณะที่การลดลงจากไตรมาสก่อน น่าจะมาจากอัตรากำไรที่ลดลงจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น เมื่อรวมกับกาไรสุทธิไตรมาส 1/2565 แล้ว กำไรสุทธิครึ่งปีแรกคิดเป็น 51% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ที่ 263 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนอยู่ที่ 292.87 ล้านบาท แนะนำ Outperform ราคาเป้าหมาย 6.27 บาท
ส่องแนวโน้มครึ่งปีหลัง
สำหรับ แนวโน้มครึ่งปีหลังในระยะใกล้ ปัจจัยสนับสนุนการเติบโต ได้แก่ 1.การเปิดเศรษฐกิจ และ 2.ยอดขายส่งออกที่แข็งแกร่งขึ้น ในขณะที่ปัจจัยลบระยะสั้นคือ 1.ต้นทุนที่สูงขึ้นหรือวัตถุดิบบางรายการเพิ่มขึ้น 5-20% และ 2.เงินบาทที่อ่อนค่าลง ส่วนในระยะกลาง เชื่อว่ารูปแบบการลงทุนที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องสำอางจะมาจากความต่อเนื่องของการเติบโตในต่างประเทศและนักท่องเที่ยวขาเข้าซึ่งคาดว่าจะถึงระดับก่อนเกิด Covid-19 ในปี 2567
ดังนั้นคงมุมมอง “เป็นกลาง” ต่อกลุ่มเครื่องสาอาง ปัจจัยหนุนตัวคูณมูลค่าหุ้น ได้แก่ 1.การฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของใช้เครื่องสำอาง 2. ยอดขายส่งออกที่ดีกว่าคาด และ 3. operating leverage ที่เอื้อประโยชน์ ส่วนปัจจัยฉุดตัวคูณมูลค่า ได้แก่ 1. ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลงอย่างรวดเร็วและภาวะเศรษฐกิจถดถอย 2.อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่อ่อนแอกว่าคาดจากการแข่งขันที่สูงขึ้นหรือราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น และ 3.ความล่าช้าของจีนในการเปิดประเทศแดนอีกครั้ง KAMART เป็นหุ้นเด่นจากกำไรปกติที่คาดจะเติบโตแข็งแกร่งขึ้นและ PER ที่ถูกที่สุดเมื่อเทียบกับคู่แข่งในประเทศ
