ห้องเม่าปีกเหล็ก

สแกนหุ้นแกร่งกลุ่มที่อยู่อาศัย รับตลาดแข่งเดือด ยอดพรีเซลอาจต่ำคาด

โดย Fin-trading
เผยแพร่ :
74 views

 

ตลาดรอเฟดตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 14-15 มี.ค.นี้ ทำให้เซ็นติเมนต์อาจไม่ดีเท่าไหร่สำหรับหุ้นที่อ่อนไหวกับทิศทางดอกเบี้ย โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ แม้ดอกเบี้ยไทยจะยังไม่ถูกกระทบโดยตรง การเลือกหุ้นลงทุนระยะนี้ อาจต้องกลับมายึดเรื่องปัจจัยหนุนฐานที่แข็งแกร่งของราคาหุ้น อย่างเงินปันผลและสตอรี่บวก
 
 
ดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวลดลงมาตลอดในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา สอดคล้องกับ SET index ในระหว่างที่นักลงทุนกำลังหาปัจจัยบวกใหม่เพื่อลุ้นให้ตลาดไปต่อ  โดยแนวโน้มกำไรหุ้นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ในมุมมองของโบรกเกอร์ “เอเซียพลัส” ประเมินว่าจะเติบโต 10% สูงกว่าตลาดเล็กน้อยที่คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโต 8% โดยการเติบโตส่วนใหญ่เป็นผลมาจากยอดการโอน Backlog  ที่มีอยู่ รวมถึงโครงการที่เป็นการร่วมทุน และยอดขายใหม่โครงการแนวราบ ซึ่งยังมีความเสี่ยงเรื่องยอด Presale 
 
 
“เอเซียพลัส” ให้หุ้นเด่นกลุ่มนี้ คือ  ANAN, AP, SPALI และ LH
 
 
ด้าน “ฟินันเซีย ไซรัส” มองหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กำไรปกติงวดไตรมาส 4/59  เพิ่มขึ้น 50% Q/Q เป็นเพราะผู้ประกอบการต่างเร่งโอนก่อนสิ้นปี แต่ตัวเลขกลับติดลบ 9% Y/Y เพราะหมดมาตรการรัฐที่ทำให้ยอดโอนกระจุกตัวใน 4Q/58 - 2Q/59 ขณะกำไรทั้งปี 2559  เติบโตเพียง 2%  นักวิเคราะห์ระบุความยากลำบากในปีก่อน คือ กำลังซื้อในตลาดกลางและล่างที่หดหาย ขณะผู้ประกอบการไปแข่งกันที่ตลาดบนและพึ่งพาสินค้าแนวราบมากกว่าแนวสูง จึงถูกกดดันจากราคาที่ดินที่แพงขึ้น โดยสถานการณ์ยังต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ขณะการขายโครงการใหม่ทำได้น้อยในปีก่อน จึงทำให้ Backlog ที่จะโอนในปีนี้มีไม่มาก 
 
 
โบรกเกอร์รายนี้เลือกหุ้นแนะนำเป็น SPALI (ราคาเป้าหมาย 30 บาท) และ AP (ราคาเป้าหมาย 9 บาท) ที่กำไรเติบโตดีกว่ากลุ่ม มี P/E ถูกกว่า และ Dividend yield ดี
 
 
การเข้าถือหุ้นเพิ่มจากบรรดาผู้บริหาร ก็อาจเป็นอีกเหตุผลในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุน ซึ่งสำหรับหุ้นในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่พบการเข้าถือหุ้นเพิ่มของผู้บริหารอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นรวมถึงหุ้นแสนสิริ (SIRI) 
 
 
ตามแบบรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ของผู้บริหาร (แบบ 59-2) ของ ก.ล.ต. พบว่าผู้บริหารระดับสูงของ SIRI ทยอยเก็บหุ้นเข้าพอร์ตกันมาต่อเนื่อง หากนับตั้งแต่ไตรมาส 4/59 เป็นต้นมา พบว่า “เศรษฐา ทวีสิน” กรรมการผู้จัดการใหญ่ SIRI ซื้อหุ้นมาตั้งแต่วันที่ 12 ต.ค.59 จนถึงวันที่ 2 มี.ค.60 รวมจำนวนหุ้นซื้อเข้าพอร์ตทั้งหมด 84,226,000 หุ้น ตามมาด้วย “อภิชาติ จูตระกูล” ประธานอำนวยการ SIRI เข้าซื้อหุ้นในช่วงเวลาเดียวกัน รวมจำนวนหุ้นซื้อเข้าพอร์ตทั้งหมด 32 ล้านหุ้น และ “วันจักร์ บุรณศิริ” กรรมการ SIRI เข้าซื้อหุ้นในช่วงเวลาเดียวกันรวมจำนวนหุ้นซื้อเข้าพอร์ตทั้งหมด 30 ล้านหุ้น 
 
 
ราคาหุ้น SIRI เริ่มพลิกกลับมาเป็นขาขึ้นชัดเจนนับตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันพร้อมวอลุ่มซื้อขายเฉลี่ยในทิศทางที่เพิ่มขึ้นด้วย
 
 
เมื่อปลายเดือนที่แล้ว บริษัทฯ รายงานรายได้รวมไตรมาส 4/59 อยู่ที่ 1.17 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 72.3% Q/Q และ 12.7% Y/Y กำไรสุทธิอยู่ที่ 1.61 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 167% Q/Q และ 48.3% Y/Y สาเหตุกำไรที่เพิ่มขึ้นมาจากกำไรส่วนแบ่งการร่วมทุนที่ 31 ล้านบาท จากการเริ่มโอนโครงการ “the Line Sukhumvit 71” ซึ่งเป็นแห่งแรกของโครงการร่วมทุน 
 
 
ส่วนงวดการดำเนินงานทั้งปี 2559 SIRI มีรายได้รวม 3.44 หมื่นล้านบาท ลดลง 10%  กำไรสุทธิอยู่ที่ 3.38 พันล้านบาท ลดลง 3.6% โดยในปี 2559 บริษัทฯ ยังคงรับรู้ผลขาดทุนจากการร่วมทุนที่ 78 ล้านบาท ในขณะที่ Gross profit margin ของทั้งปีเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 31.7% ต่ำกว่าปี 2558 ที่ทำได้ 32.1% 
 
 
SIRI ประกาศจ่ายปันผลที่ 0.08 บาทต่อหุ้นสำหรับผลดำเนินงานรอบครึ่งปีหลัง กำหนดการขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 10 มี.ค. นี้
 
 
นมุมมองนักวิเคราะห์ “ดีบีเอส วิคเคอร์ส” ประเมินว่า แม้ในปีนี้ การเปิดขายโครงการใหม่จะมีมูลค่าลดลงเป็น 4.1 หมื่นล้านบาท หรือลดลง 9% จากปีก่อน แต่แนวโน้มการทำยอดขาย (presales) กลับเพิ่มขึ้นมาเป็น 3.6 หมื่นล้านบาท เพราะโครงการใหม่ที่เลื่อนขายจากไตรมาส 4/59  มาขายปีนี้แทน คือ “คอนโด98 Wireless” ที่สร้างเสร็จก่อนขายจะทำยอดขายได้ดี ขณะในช่วงครึ่งปีหลัง จะมีการเปิดขายโครงการร่วมทุนกับ BTS อีก 4 โครงการ นักวิเคราะห์จึงประเมินว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2560 จะดีกว่าคาด 
 
 
ล่าสุด โบรกเกอร์รายนี้ปรับประมาณการปี 2560 ดีขึ้นถึง 17% พร้อมสมมติฐานที่ดีขึ้นคือการลดค่าใช้จ่ายขาย-บริหารและเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นในส่วนธุรกิจบริหารธุรกิจ อย่างไรก็ตามแนะนำเพียง "ถือรับปันผล" กับราคาพื้นฐานใหม่ที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 1.84 บาท ประเมินด้วย P/E ปี 2560 ที่ 7.2 เท่า ต่ำกว่าอุตสาหกรรมที่อยู่ 8 เท่า เพราะคาดการณ์กำไรปี 2561 จะลดลง 20% หลังจากปีนี้ที่เติบโต 12% ส่วนอัตราผลตอบแทนปันผลปีนี้ คาดว่าจะยังอยู่ในเกณฑ์ดีที่ 6.5% 
 
 
เช่นเดียวกับ “เมย์แบงก์ กิมเอ็ง” นักวิเคราะห์แนะนำ “ถือรอรับปันผล” ราคาเป้าหมาย 1.82 บาท ไม่รวม Dilution ของการแปลง SIRI-W2  จำนวน 3,406 ล้านหุ้น ราคาใช้สิทธิ 2.50 บาท/หุ้น หมดอายุเดือนพ.ย.2560 ในด้านพื้นฐาน นักวิเคราะห์มอง Backlog ในมือที่ 11,197 ล้านบาท เตรียมบันทึกรายได้ในปีนี้ 98% และยังมีส่วนโครงการพร้อมขาย รวมถึง “98 Wireless” ประมาณ 11,000 ล้านบาท ที่จะเข้ามาหนุนรายได้ปีนี้
 
 
โดยในส่วนของ JV Backlog อยู่ที่ 20,172 ล้านบาท โดยจะบันทึกรายได้ปีนี้ 14% บันทึกในปี 2561 และ 2562 ปีละ 28% ส่วนที่เหลืออีก 30% จะบันทึกในปี 2563 ซึ่งทำให้ส่วนแบ่งกำไรเริ่มเป็นบวกในปีนี้และก้าวกระโดดในปี 2561
 
 
“เมย์แบงก์ฯ” คาดแนวโน้มกำไรงวดครึ่งปีหลังจะสูงกว่าครึ่งปีแรกเล็กน้อย จากโครงการสร้างเสร็จปีนี้ของ JV คือ “The Line จตุจักร” ที่จะส่งมอบปลายปี ส่วนกำไรสุทธิปีนี้ นักวิเคราะห์คาดจะอยู่ที่ 3,238 ล้านบาท ลดลง 4.2%
 
 
*********************************
ทีม Business&Finance, Money Channel

- ที่มา : http://www.moneychannel.co.th/


Fin-trading