คอลัมน์ “เรียลไลฟ์ เรียลลงทุน”
.ประเมินแนวโน้มตลาดด้วย “ตาชั่ง”

.
คำว่า “ตาชั่ง” ในข้อเขียนนี้ ขอให้นึกถึงตาชั่งที่มีจานชั่ง 2 ข้างนะครับ ไม่ใช่ตาชั่งจานเดียว
.
เมื่อเราวางสิ่งของลงด้านหนึ่ง น้ำหนักก็จะเท (เอียง) ไปทางด้านนั้น หากต้องการให้สมดุล ก็ต้องวางสิ่งของที่มีน้ำหนักเท่ากันในฝั่งตรงกันข้าม
.
ในที่นี้ เราจะให้จานด้านหนึ่งใช้สำหรับวาง ‘ปัจจัยลบ’ ส่วนอีกด้านหนึ่งใช้สำหรับวาง ‘ปัจจัยบวก’
.
ถ้านักลงทุนสามารถวางปัจจัยบวกและลบได้อย่างถูกต้องในจานแต่ละด้าน ก็มีโอกาสที่จะตัดสินใจในการลงทุนได้อย่างถูกต้อง
.
เพราะหากตาชั่งเอียงไปทางด้านบวก แนวโน้มที่ราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นก็เป็นไปได้มาก แต่หากตาชั่งเอียงไปทางด้านลบ โอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับลดลงก็มีสูง
.
ที่ใช้คำว่า “โอกาส” ก็เนื่องจากว่า ราคาหุ้นนั้นไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไปตามปัจจัยบวกหรือลบในทันที หลายครั้งที่หุ้นขึ้นทั้งๆ ที่มีปัจจัยลบท่วมตลาด หรือหุ้นลงทั้งๆ ที่มีปัจจัยบวกมากมาย เพราะตลาดยังไม่ได้รับรู้ปัจจัยบวกและลบเหล่านั้นอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม เมื่อตลาดได้รับรู้ปัจจัยบวกและลบอย่างชัดเจนแล้ว ทิศทางของราคาหุ้นก็ย่อมต้องสะท้อนปัจจัยเหล่านั้น
.
ในการประเมินแบบตาชั่ง นอกจากจะต้องมีความรู้ความเข้าใจว่าอะไรคือปัจจัยบวกและปัจจัยลบแล้ว ที่ยากกว่าก็คือ ต้องรู้ด้วยว่าเป็นปัจจัยบวกหรือลบในมิติไหน...อดีต หรือปัจจุบัน หรืออนาคต
.
ผู้แพ้หรือชนะในเกมการลงทุน ต่างกันที่ตรงนี้เองครับ
.
หลายคนแยกแยะได้ว่าอะไรคือปัจจัยบวกและลบ แต่ไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าปัจจัยบวกนั้นจบไปแล้วหรือยัง หรือยังมีอิทธิพลอยู่ในปัจจุบัน และจะมีอิทธิพลต่อไปในอนาคตหรือไม่
.
ถ้านำปัจจัยบวกที่เป็นอดีตไปแล้วมาวางบนตาชั่ง ก็จะทำให้จานฝั่งบวกถูกถ่วงน้ำหนักอย่างไม่ถูกต้อง เพราะในความเป็นจริงนั้น หากปัจจัยใดที่เป็นอดีตไปแล้วจะต้องนำออกจากตาชั่งในทันที เพื่อไม่ให้ตาชั่งส่งสัญญาณที่ผิดเพี้ยน
.
สิ่งที่ควรจะนำเข้ามาสู่ตาชั่งด้วยก็คือ ปัจจัยบวกและลบในอนาคต (ระยะใกล้) เพื่อให้ตาชั่งนั้นเป็นเครื่องชี้อนาคต ไม่ใช่แค่บอกสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ เป็นเพียงเครื่องบอกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต ซึ่งไม่ได้มีประโยชน์อันใดในการลงทุน
.
ลองยกตัวอย่างปัจจัยบวกและลบที่จะนำมาวางบนตาชั่งดูนะครับ แต่ต้องบอกก่อนว่า อาจจะไม่สามารถนำไปใช้ได้ในสถานการณ์จริง เพราะขณะที่เขียนต้นฉบับนี้เป็นช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2565 ซึ่งห่างจากวันที่คอลัมน์ได้รับการตีพิมพ์พอสมควร ดังนั้น ปัจจัยต่างๆ อาจเคลื่อนไปจากนี้แล้ว
.
ผมจะเริ่มจากการหยิบปัจจัยบวกและลบสำหรับตลาดหุ้นไทยออกมาวางเรียงกันไว้ในแต่ละด้านก่อน ยังไม่นำขึ้นตาชั่ง เพราะต้องคัดซ้ำอีกครั้งหนึ่งว่าปัจจัยนั้นกลายเป็นอดีตไปแล้วหรือยัง
.
ปัจจัยบวก...เลิกกังวลโควิด ข้อมูลเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง ราคาน้ำมันปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่ไม่สูงเกินไป การท่องเที่ยวฟื้นตัว ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนออกมาดี เงินทุนไหลเข้า
.
ปัจจัยลบ...เงินเฟ้อสูง (ยังต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อไป) น้ำท่วม (มีผลต่อการท่องเที่ยวและราคาอาหารแพง) เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศซึ่งส่งผลให้เกิดการขาดแคลนสินค้าบางประเภท เศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่ชะลอตัว (ส่งผลต่อการส่งออกของไทย) ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนตัว
.
ปัจจัยบวกที่น่าจะกลายเป็นอดีตไปแล้ว คือ เลิกกังวลโควิด และผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน (หลังจากประกาศงบการเงินไตรมาสที่ 2 ครบหมดแล้ว ต้องรอลุ้นไตรมาสที่ 3 ซึ่งใช้เวลาอีก 2-3 เดือน)
.
ส่วนปัจจัยลบต่างๆ ยังคงมีอิทธิพลอยู่
.
ดังนั้น เมื่อนำปัจจัยบวกที่เหลือกับปัจจัยลบขึ้นชั่งบนตาชั่งคนละฝั่งกัน จึงออกมาในลักษณะก้ำกึ่ง ซึ่งหากปัจจัยฝั่งไหนถูกถอนออกไป ตาชั่งก็จะเอียงไปอีกด้านหนึ่งทันที เช่น หากข้อมูลทางเศรษฐกิจออกมาอ่อนแอกว่าที่ควร จะส่งผลให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนลง แบบนี้จะเป็นลบทันที แต่หากเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอลงอย่างชัดเจน ทำให้การปรับขึ้นดอกเบี้ยมีความจำเป็นน้อยลง เศรษฐกิจจึงเดินหน้าได้ดีในภาวะดอกเบี้ยต่ำ ตลาดหุ้นก็จะมีแรงส่งด้านบวกทันทีเช่นกัน
.
คนที่เลือกปัจจัยบวกและลบได้ดี และชั่งน้ำหนักได้เก่ง จึงมีโอกาสคว้าชัยในตลาดหุ้นได้มากครับ
--