เฟดขึ้นดอกเบี้ย จะกระทบเศรษฐกิจไทยอย่างไรบ้าง?
เปิดมุมมองผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย หากการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ในวันที่ 3-4 พ.ค.นี้ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ 0.5%
“ดร.กอบศักดิ์” มองเงินไหลกลับสหรัฐ ค่าเงินทุกสกุลอ่อนค่า
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า เฟดมีแนวโน้มจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ 0.5% โดยในช่วงที่ผ่านมาเมื่อเฟดขึ้นดอกเบี้ยทำให้เงินจะไหลกลับไปที่สหรัฐเนื่องจากดอกเบี้ยพันธบัตรได้ปรับขึ้น ซึ่งส่งผลให้เงินในทุกสกุลอ่อนค่าลงทำ New Low มาโดยตลอด
นอกจากนี้ในช่วงนี้นักลงทุนยังมีการพูดถึงการทำ Carry Trade ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงที่สหรัฐอเมริกาดอกเบี้ยสูงขณะที่ประเทศอื่นดอกเบี้ยต่ำ โดย Carry Trade คือการที่นักลงทุนได้มีการกู้จากประเทศอื่นที่แล้วไปปล่อยที่สหรัฐอเมริกาและได้หายไปช่วงหนึ่งตอนที่ทุกประเทศได้เริ่มอัดฉีดสภาพคล่อง ซึ่งการ Carry Trade ในช่วงนี้ได้ประโยชน์จากค่าเงินด้วย
อย่างไรก็ตามการที่เงินบาทอ่อนค่าในช่วงนี้ถือเป็นเรื่องที่ดีเนื่องจากภาคการเกษตรจะได้รับประโยชน์โดยปัจจุบันภาคเกษตรได้ประโยชน์จากวิกฤตอาหารโลกและเมื่อรวมกับเงินบาทที่อ่อนค่าจะทำให้ได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้น ขณะภาคส่งออกจะได้อานิสงส์จากเงินบาทที่อ่อนค่าทำให้เศรษฐกิจไทยโตได้อีกเล็กน้อยและคาดว่าจะส่งผลดีกับภาคท่องเที่ยวโดยทำให้นักท่องเที่ยวอยากมาเที่ยวประเทศไทยมากขึ้น
ttb analytics ไม่มีผลต่อการตัดสินใจของกนง.
เงินบาทเดือนพ.ค.จะอยู่ที่ 34.20-34.80 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) คาดธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศ โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ซึ่ง ttb analytics ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ตลอดทั้งปี 65 ส่งผลให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยและอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ แตกต่างกันมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้จากการที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในระดับสูง ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อกระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศ เนื่องจากอัตราผลตอบแทนที่เพิ่มสูงขึ้นในสหรัฐฯ ทำให้การลงทุนในตลาดการเงินสหรัฐฯ มีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้นก่อให้เกิดการไหลออกของเงินทุนจากภูมิภาคเอเชีย
ซึ่งเบื้องต้นเดือนเม.ย. 65 มีเงินลงทุนไหลออกจากภูมิภาคเอเชียกว่า 9.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐโดยการไหลออกของเม็ดเงินลงทุนจากภูมิภาคเอเชียเข้าสู่สหรัฐฯ ส่งผลกระทบทำให้สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าเพิ่มขึ้น ในขณะที่ค่าเงินบาทและสกุลเงินอื่นๆในเอเชียอ่อนค่าอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับค่าเงินบาทปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 34.30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 33.3 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นเดือนมี.ค. 65 ถือเป็นการอ่อนค่าของเงินบาทในรอบเดือนมากที่สุดตลอดระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 61
ดังนั้น ttb analytics จึงได้ประเมินค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่องในช่วงเดือนพ.ค. 65 โดยประเมินกรอบค่าเงินบาทไว้ที่ 34.20-34.80 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ตามการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ภายหลังการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จากความคาดหวังของตลาดต่อการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนมิ.ย. 65
“กรุงศรี” มองปัจจัยเฟด
ต้นทุนพลังงานฉุดรั้งค่าเงินบาท
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) คาดว่า เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.5% สู่ช่วง 0.75-1.0% โดยในระยะนี้การใช้นโยบายเข้มงวดของเฟดและต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นยังเป็นประเด็นฉุดรั้ง sentiment ค่าเงินบาท
สำหรับมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทเงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 34.15-34.65 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดอ่อนค่าที่ 34.27 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในกรอบ 33.95-34.48 บาท/ดอลลาร์
โดยเงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 5 ปี ท่ามกลางแรงซื้อดอลลาร์ในตลาดโลก ขณะที่ในเดือนเมษายน เงินบาทอ่อนค่าลง 2.9% เกาะกลุ่มไปกับทิศทางภูมิภาค เงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินสำคัญในสัปดาห์ที่ผ่านมา ความวิตกเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและการเร่งขึ้นดอกเบี้ยและลดขนาดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งผลให้นักลงทุนปิดรับความเสี่ยง
KResearch มองมีผลต่อ
เงินไหลออก – ค่าเงินอ่อนค่า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) คาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.5% ตามที่ได้ส่งสัญญาณไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อที่ยังคงเร่งตัวในระดับสูง โดยการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของเฟดส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ฯ มีทิศทางแข็งค่าขึ้น ในขณะที่ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ที่มีการดำเนินนโยบายการเงินสวนทางกับเฟดเผชิญแรงกดดันจากเงินทุนไหลออกและทิศทางค่าเงินที่อ่อนค่าลง
ทั้งนี้ หากพิจารณาประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเซีย ประเทศส่วนใหญ่ต่างยังคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายท่ามกลางเศรษฐกิจที่กำลังอยู่ในภาวะเริ่มฟื้นตัว ซึ่งนโยบายการเงินที่แตกต่างกันของสหรัฐฯ กับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคส่งผลให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของแต่ละประเทศกับสหรัฐฯ (Interest rate gap) นั้นแคบลง ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดภาวะเงินทุนไหลออกจากประเทศ และไปกดดันทิศทางค่าเงินของแต่ละประเทศให้อ่อนค่าอย่างต่อเนื่องได้