ห้องเม่าปีกเหล็ก

ขาย KTC “เซ่นมาร์จิน”หมื่นล้าน

โดย OVERMoney
เผยแพร่ :
79 views

ขาย KTC “เซ่นมาร์จิน”หมื่นล้าน โบรกอ่วม 10 รายบังคับขายชำระหนี้- ที่เหลือปรับโครงสร้าง

KTC คาดจบฟอร์ซเซลหลังโผล่บิ๊กล็อต 90 ล้านหุ้นมูลค่า 1.7 พันล้านรุมซื้อที่ราคา 18-20 บาท วงการระบุโบรกเร่งเทขายลดเสี่ยงดีกว่าปรับโครงสร้างหนี้-หนีบล็อกเทรดจะระเบิดจากมูลค่ามาร์จินรายเดียวสูงถึงหมื่นล้าน เคสนี้โดนไปถ้วนหน้า 10 บล. นักวิเคราะห์คาดบิ๊กล็อตชิงเข้าซื้อ ราคาบุ๊กเหมาะสมกับสถานการณ์ไม่ได้เกิดจากพื้นฐานธุรกิจกระทบ

 

การซื้อขายหุ้น บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC วานนี้ (25 มิ.ย.) หลังกลับมาใช้ Ceiling & Floor ± 30 % ตามปกติ ทำให้การซื้อขาย KTC ทะยานขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ตลอดทั้งวันด้วยมูลค่าซื้อขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 22,000 ล้านบาท จำนวนหุ้น 1,061 ล้านหุ้น

โดยราคาหุ้นผันผวนตลอดทั้งวันแม้จะไม่ปรับตัวลงมาแรงแตะระดับฟลอร์จากราคาเปิดตลาด 22.50 บาท ราคาร่วงต่อลงไปลึกที่ราคาต่ำสุดของวัน 21.80 บาท หรือลดลง 12.80% แต่หลังจากมีรายงานซื้อขายรายใหญ่ (Big lot) ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวช่วงบ่ายและพลิกกลับมาบวกขึ้นไปทำราคาสูงสุดที่ 27.00 บาท ก่อนจะมาปิดตลาดที่ 26.50 บาท เพิ่มขึ้น 6 %

รายการ Big lot เกิดขึ้นในช่วงครึ่งเช้าจำนวน 9 รายการ รวมจำนวน 90 ล้านหุ้น มูลค่า 1,748 ล้านบาท อยู่ในช่วงราคา 18-20 บาท และสิ้นวัน รายการ Big lot  14 รายการ รวมปริมาณหุ้นกว่า 129.20 ล้านหุ้น มูลค่า 2,672.84 ล้านบาท ที่ราคาเฉลี่ย 20.69 บาทจนทำให้เริ่มเกิดกระแสข่าวว่ามีนักลงทุนและกองทุนเข้ามาเก็บหุ้นหลังโบรกเกอร์ เทขายหุ้นจากการ บังคับขายหุ้น (Force sell)ของผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 KTC “มงคล ประกิตชัยวัฒนา” ถือหุ้นรวม 327 ล้านหุ้นหรือ 12.70 % นำหุ้นไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันและไม่มีเงินหรือสินทรัพย์มาเติมจนถูก Force sell

แหล่งข่าวโบรกเกอร์ เปิดเผยว่า สถานการณ์หุ้น KTC ที่ Force sell จบแล้วด้วยการที่โบรกเทขายหุ้นค้ำประกันพร้อมกันหลายแห่งจากการปล่อยมาร์จินให้ถึง 10 โบรก ส่วนหนี้ยังเหลือบางโบรกมีการปรับโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้เพื่อลดผลกระทบไปแล้ว แต่ยังถือว่าเป็นเคสที่มีมูลค่าสูงเฉพาะวงเงินมาร์จินรายนี้รายเดียวน่าจะรวม 12,000-13,000 ล้านบาท แต่หากรวมกับการเปิดบล็อกเทรดมูลค่าสูงขึ้นอีกแตะ 20,000 ล้านบาท

สำหรับเม็ดเงินปล่อยมาร์จินนักลงทุนรายนี้แต่ละโบรกเฉลี่ยอยู่ราว 1,500-2,000 ล้านบาท จึงทำให้มีมูลค่าสูงในการขายหุ้นออกมาจนราคาฟลอร์ที่ผ่านมา  ซึ่งเกิดจากเจ้าของหุ้นไม่มีสภาพคล่องในมือและยอมปล่อยให้หุ้น Force sell ไปเพราะมีการดำเนินการขอปรับโครงสร้างหนี้กับโบรกที่ปล่อยมาร์จินไว้ก่อนแล้ว ทำให้โบรกต้องรีบเทขายหุ้นออกมาลดความเสียหายให้น้อยที่สุดก่อนไปปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งบางโบรกสามารถลดได้จาก 1,000 ล้านบาทเหลือ 30 ล้านบาท เป็นต้น

“เคส KTC กระทบโบรกหนักและซ้ำเติมกับเคสก่อนหน้านี้ทำให้ฐานะของโบรกเริ่มน่ากังวลใจ เพราะหากยังปล่อยให้ราคาลงลึกไปอีกจะไปกระทบบล็อกเทรดที่มีการเปิดไว้ถึง 4 ซีรี่ย์ ซึ่งมีซีรีย์ที่ใกล้ถึงกำหนดส่งมอบสิ้นเดือนมิ.ย.หากราคาหุ้นยังลงต่อความเสียหายเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัว” แหล่งข่าวกล่าว

อย่างไรก็ตามด้วยหุ้นดังกล่าวมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นแบงก์ขนาดใหญ่และธุรกิจชัดเจนมีพื้นฐาน น่าจะมีการดูแลในระดับหนึ่งไม่เหมือนกับเคสหุ้นในอดีตที่ผู้ถือหุ้นใหญ่นำหุ้นตัวเองไปนำจำในและนอกตลาดจนขาดสภาพคล่องและเจอราคาฟลอร์อย่างรุนแรง 

 

 

นายกรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์ ฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า  ราคาหุ้น KTC ที่เห็นการฟื้นตัวในช่วงบ่ายเชื่อว่าการ Force Sell ได้จบแล้วจึงทำให้เห็นรายการ Big Lot จำนวนมากอาจจะเป็นนักลงทุนหรือกองทุนมองเห็นว่าราคานี้เหมาะสมกับพื้นฐานจึงมีการเสนอซื้อสู้กันช่วง 18-20 บาทให้เห็น

อิงตามปัจจัยพื้นฐานของ KTC มีราคาเหมาะสมที่ 35.00 บาท และ แนะนำขาย ด้วยอัตราเท่ากับราคา book value หรือ มูลค่าตามบัญชี 2 เท่า หากบริษัทไม่มีการเติบโตราคาเหมาะสมจะอยู่เท่า book value 1 เท่า หรือประมาณ 17-18 บาท เท่ากับราคาเฉลี่ย Big Lot ที่เกิดขึ้นแต่มีโอกาสเห็น KTC เติบโตเพราะธุรกิจมีการปรับต้นทุน ตอบรับกับสินเชื่อเติบโตลดลง จึงคาดว่าปี 2568 มีกำไรเติบโตอยู่

“ประเมินจากเทขายหุ้นออกมา 400 ล้านหุ้น กับสัดส่วนถือหุ้นรายใหญ่อันดับ 2 ประมาณ 300 กว่าล้านหุ้นทำให้ Force Sell น่าจะจบลงแล้ว บวกกับพื้นฐานไม่ได้เสียหายเลยทำให้การสู้กันของราคาหุ้นมีแวลูหุ้นเข้าไปด้วย ซึ่งหุ้น KTC หุ้นขนาดกลางที่มีศักยภาพมีผู้ถือหุ้นรายอันดับ 1 คือแบงก์ ทำให้กองทุนสนใจเข้ามาถือในราคาดังกล่าว ”

อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น KTC ยังมีความเสี่ยงสูงจากราคาหุ้นที่ยังผันผวนหลังมีการเข้ามาเก็งกำไรหุ้นในช่วง 25 มิ.ย. ที่ผ่านมา ดังนั้นหากเข้าไปลงทุนต้องมีจุดตัดขาดทุน ด้วยการซื้อขายหุ้นวันนี้มีการเก็งกำไรไม่ได้เกิดจากพื้นฐานธุรกิจทำให้ต้องระมัดระวังลงทุน

 

ทีมา.. https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1186600

 


OVERMoney