Liquidity in Value investment
ปัจจัยอย่างหนึ่งที่นักลงทุนแนว VI จำนวนมากมักไม่ให้ความสำคัญ คือ Liquidity (สภาพคล่องในการซื้อขาย) ส่วนใหญ่จะมองว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพื้นฐานของกิจการ รวมทั้งหนังสือสอนการลงทุนเชิงพื้นฐานก็ไม่ค่อยมีเนื้อหาพูดถึงความสำคัญของ สภาพคล่องเลย ส่วนใหญ่ความสำคัญของสภาพคล่อง มักเป็นนักลงทุนที่อาศัย เทคนิคคอลเป็นเครื่องมือในการลงทุน เนื่องจากสภาพคล่องมักเป็นตัวยืนยันทิศทางการขึ้นลงของหุ้นได้น่าเชื่อถือมากขึ้น
ในที่นี้สำหรับนักลงทุนแนว VI เราจะมองสภาพของหุ้นแบ่งเป็น 2 มิติ คือ
มิติแรก มุมมองของนักลงทุนที่จะซื้อขายหุ้น คือการมองว่า พอร์ตเรามีเงินลงทุนเท่าไร จะแบ่งสรรสำหรับหุ้นแต่ละตัวเท่าไร เช่น พอร์ตมีเงิน 30 ล้านบาท เราจะไม่ซื้อหุ้น1 ตัว เกิน 8-10 ล้านบาท ทำให้เรารู้ว่า หุ้นที่เราจะเข้าไปลงทุนต้องมีปริมาณการซื้อขายต่อวันเฉลี่ยเท่าไร จึงจะสามารถรับปริมาณหุ้นที่เราต้องการขายได้ เช่น หุ้นที่เราจะเข้าซื้อมีปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 1 แสนบาท หมายความว่า เราจะต้องใช้เวลาเฉลี่ย 80-100วัน ในการออกหุ้นทั้งหมด ลักษณะนี้ ถือว่าหุ้นมีสภาพคล่องที่ต่ำเกินไป โดยเฉพาะหากคาดการณ์ผิดและมีความจำเป็นต้องขายทิ้ง
ดังนั้นการซื้อหุ้นลักษณะนี้เราต้องมั่นใจว่า ราคาที่ซื้อนั้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงค่อนข้างมากเพื่อชดเชยความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง และเราต้องพร้อมที่จะถือมันอย่างน้อย 3-5 ปี และหุ้นนั้นควรจะมีปันผลอย่างต่ำ 4-5 %
มิติที่สอง คือ การเทียบปริมาณการซื้อขายของหุ้นเมื่อเทียบกับหุ้นทั้งหมดของบริษัท ลักษณะนี้เป็นการวัดอย่างคร่าวๆว่า คนที่มาซื้อหุ้นของบริษัทนั้น ถือหุ้นที่ซื้อไว้นานแค่ไหนโดยเฉลี่ย เช่น หุ้นมีขนาด Market Cap 1,000 ล้าน ขณะที่หุ้นของบริษัทมีการซื้อขายเฉลี่ย 10ล้านบาท แสดงว่า คนในบริษัทหากต้องการขายหุ้นออกหมดต้องใช้เวลาเฉลี่ย 100 วัน เท่ากับว่า คนในบริษัทนี้ ถือหุ้นเฉลี่ย 3เดือนกว่าๆ ไม่ใช่นักลงทุนกลุ่มที่เน้นกินปันผลรอบปี
การถือหุ้นสั้นหรือยาวของหุ้นแต่ละตัวบ่งบอกถึง อัตราการเก็งกำไรในหุ้นนั้น หุ้นที่มีสภาพคล่องสูงมากบ่งบอกถึงอัตราการเก็งกำไรที่มากด้วย ขณะที่หุ้นบางตัวมีค่าเฉลี่ยการถือครองถึง 3 ปี ทำให้ทราบได้ว่า หุ้นตัวนั้นแทบจะไม่มีการเก็งกำไรเลยซึ่งในบางครั้งก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ว่า หุ้นตัวไหนเป็นหุ้นเก็งกำไร แต่โดยทั่วไป หุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายต่อวันมากกว่า 1%ของ MarketCapเข้าข่ายว่าเป็นหุ้นเก็งกำไร หรือสามารถเก็งกำไรได้ ยิ่งหุ้นมีการเก็งกำไรสูงเท่าไร หุ้นยิ่งมีแนวโน้มว่าจะมีราคาสูงเกินกว่าราคาที่ควรจะเป็น
- Vira -
อ้างอิง : ลงทุนหุ้นอย่างสบายใจ , ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร