ความต้องการ “หน้ากากอนามัย” มาถึงจุดพีค เมื่อตลอดสัปดาห์นี้ ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากวิกฤตไวรัส “โควิด-19” จากทั่วโลก เพิ่มขึ้นเป็น 3,382 ราย ขณะที่จำนวนผู้ป่วยสะสมทั่วโลก 97,853 ราย ใกล้จะเข้าหลักแสนไปทุกขณะ (ข้อมูลล่าสุด 6 มี.ค. 2563)
ถึงแม้ว่าจำนวนผู้ป่วยสะสมในไทยจะอยู่ที่ตัวเลขหลักสิบ และมีผู้เสียชีวิตอยู่ที่ตัวเลขหลักเดียว แต่ความตื่นกลัวของคนไทยกลับทะลุเลยหลักสิบล้านไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อมีข่าวออกมาเป็นระยะๆ ว่า แม้แต่โรงพยาบาลหลายแห่งยังขาดแคลนหน้ากากอนามัยกับเขาด้วยเหมือนกัน ความโกลาหลจึงแพร่กระจายทุกหย่อมหญ้า สะพัดเร็วยิ่งกว่า “ระยะฟักตัว” ของโควิด-19 เสียอีก
แล้วจู่ๆ เจ้าสัวซีพี “ธนินท์ เจียรวนนท์” ก็ออกมาประกาศแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า พร้อมจะเปย์ 100 ล้านบาทสร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย โดยจะใช้เวลาก่อสร้าง 5 สัปดาห์ แจกฟรีแก่บุคคลากรทางการแพทย์ และประชาชนทั่วไปที่ยังไม่มีโอกาสเข้าถึง
สำหรับโรงงานใหม่แกะกล่องของซีพีแห่งนี้ มีกำลังการผลิต 3 ล้านชิ้นต่อเดือน ขณะที่ความต้องการหน้ากากอนามัยในประเทศ ถีบตัวสูงขึ้นจาก 30 ล้านชิ้นต่อเดือน เพิ่มขึ้นเป็น 50 ล้านชิ้นต่อเดือน
โดยในช่วงที่หน้ากากอนามัยกลายเป็น 1 ในปัจจัย 4 ที่สำคัญ (หมวดยารักษาโรค) ในฐานะอุปกรณ์ป้องกันภัยจากเชื้อโรค “กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์” ยืนยันว่า ได้ประสานความร่วมมือกับโรงงานผลิตหลายแห่ง เพื่อจะเร่งผลิตให้ได้วันละ 5 ล้านชิ้น เท่ากับเดือนละ 150 ล้านชิ้น รวมกับตัวเลขที่ซีพีจะผลิตแจก ก็มีความเป็นไปได้สูงว่า ประเทศไทยน่าจะไม่ขาดแคลนหน้ากากอนามัยในอนาคตอันใกล้นี้ ถ้าโรงงานไม่แตกแถวแอบผลิตเพื่อจำหน่ายต่างประเทศเสียก่อน
“หากเจอวิกฤต มืดที่สุด อย่าเพิ่งท้อใจ แสงสว่างกำลังจะมา ถ้าผ่านไปได้ พอฟื้นจากวิกฤตสังคม เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลง จะเอื้อให้ทำธุรกิจต่อ ถึงเวลานั้น คิดจะทำอะไร ทุกอย่างก็จะถูกหมด แต่ตอนอยู่ในวิกฤต ต้องอย่าตาย ต้องเอาชีวิตรอดให้ได้ จึงจะมีโอกาสได้คืน เพราะมีประสบการณ์ ผ่านบทเรียนมาแล้ว วิกฤตตามมาด้วยโอกาส โอกาสก็จะตามมาด้วยวิกฤต อันนี้คู่กัน” เจ้าสัวธนินท์กล่าวในวันเปิดตัวหนังสือของตัวเองเล่มแรกในชีวิต เล่มที่ชื่อว่า “ความสำเร็จดีใจได้วันเดียว”
ความเคลื่อนไหวของซีพีท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 รอบนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ภาคเอกชนยอมลงทุน 100 ล้านบาท เพื่อผลิตสินค้าให้กับผู้คนในสังคมแบบให้เปล่า เจ้าสัวซีพียืนยันว่า จะมอบกรรมสิทธิ์ให้ “โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์” เป็นผู้ดูแล โดยซีพีจะเข้าไปช่วยเหลือดูแลเฉพาะในส่วนของการตลาดและการบริหารจัดการ ตั้งราคาจำหน่ายสินค้าให้เป็นธรรม กระจายไปยังเครือข่ายโรงพยาบาลทั่วประเทศ โดยรายได้ที่มาจากการจำหน่ายหน้ากากอนามัย ก็จะมอบให้แผนกหัวใจ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ต่อไป
ซีพีเป็นหนึ่งในองค์กรสุขภาพดี ที่ถึงแม้ว่าจะเผชิญความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจในปี 2562 ที่ผ่านมา แต่บริษัทในเครืออย่าง “ซีพีเอฟ” ก็ยังมีความสามารถในการทำกำไรสุทธิอยู่ที่ 18,456 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากปีก่อนหน้า
การควักกระเป๋าของกลุ่มทุนใหญ่ เพื่อผลิตสินค้าไล่แจกฟรีในภาวะที่ไม่ปกติ หลายคนอาจจะเกิดคำถามในใจว่า ซีพีจะยกธุรกิจที่ตัวเองลงทุน บริจาคให้กับโรงพยาบาลรัฐจริงหรือ? มีอะไรที่นอกเหนือไปจากนี้หรือไม่?
การตั้งคำถามชวนให้คิดนี้ นำไปสู่คำอธิบายง่ายๆ ได้ว่า ธุรกิจธงนำอย่าง “ซีพีเอฟ” มีกำไรสุทธิเฉียด 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ “ซีพีออลล์” ผู้บริหาร 7-อีเลฟเว่น มีกำไรสุทธิปี 2562 เลย 2 หมื่นล้านบาทไปแล้ว ดังนั้น การลงทุนสร้างโรงงาน 100 ล้านบาทแล้วให้เปล่า ดูเหมือนจะป๋ามาก แต่ด้วยขนาดธุรกิจที่ใหญ่โตของซีพี เงินลงทุนนี้มีสัดส่วนเพียง 0.5% ของกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ซีพี ถือเป็นเงินเล็กน้อยแบบสิวๆ ถ้าเจ้าสัวสั่งลุย อยากควักกระเป๋าเพิ่ม ก็ย่อมทำได้ทุกเมื่อ
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจตกที่นั่งลำบาก แถมยังถูกไวรัสโควิด-19 ซ้ำเติม ถ้าไม่ใช่กลุ่มทุนใหญ่ยื่นมือเข้ามาแบ่งเบา ลำพังรอภาครัฐเข้ามาดำเนินการ ทุกอย่างอาจจะ too late เกินไปก็ได้
มองอีกมุมหนึ่ง ทำไมภาครัฐถึงไม่เอางบมาลงทุนสร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยแจก และหมุนเวียนใช้กันในเครือข่ายโรงพยาบาล ดีกว่าเอางบเที่ยวไล่แจกคนที่ขาดแคลนกำลังทรัพย์ แล้วต้องกำเงินไปซื้อหน้ากากอนามัยที่แพงหูฉี่ เพราะกลัวตัวเองจะตาย
เป็นเรื่องที่น่าคิดเหมือนกันว่า ระหว่างจีนเนรมิตโรงพยาบาลชั่วคราว ขนาด 1,000 เตียง จำนวน 2 แห่ง โดยใช้เวลาก่อสร้างเพียง 7 วัน กับถ้าไทยตอกเสาเข็มสร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย แจกจ่ายให้ทั่วถึงทุกครัวเรือน โดยใช้เวลาก่อสร้างสปีดเดียวกับซีพีคือ 5 สัปดาห์ อะไรเป็นเรื่องที่ทำยากกว่ากัน?
ซีพีจะได้ประโยชน์อะไรจากการ take action ครั้งนี้? เจ้าสัวธนินท์บอกชัดว่า ซีพีมีนโยบายยึดถือประโยชน์เพื่อประเทศชาติ และประชาชนเป็นหลัก โดยเฉพาะในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ถือเป็นหน้าที่ของซีพีที่จะต้องทำเพื่อคนไทย ซึ่งสอดคล้องกับ 1 ใน 3 กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ผ่านการสร้างคุณค่าร่วมกับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน
และเป็นไปตามหลักการ 3 ขาของ ESG (Environmental : สิ่งแวดล้อม, Social : สังคม, และ Governance : บรรษัทภิบาล) ซึ่งเป็นแนวโน้มสำคัญ ที่จำเป็นต้องเอาไปผนวกกับปัจจัยทางด้านการเงิน เพื่อสร้างความยั่งยืนให้ธุรกิจ
ที่มา wealthythai.com,Youtube