แบงก์ชาติเอเชียเร่งแทรกแซง หลังค่าเงินพุ่งแข็งค่ารอบหลายปี
แบงก์ชาติฮ่องกงซื้อดอลลาร์แทรกแซงค่าเงินครั้งใหญ่ ขณะที่ค่าเงินไต้หวันแข็งค่าสุดในรอบ 37 ปี นักวิเคราะห์มองเอเชียอาจใช้ดอลลาร์ต่อรองการค้าสหรัฐ

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า สกุลเงินในหลายประเทศของเอเชียที่กำลัง "แข็งค่าขึ้น" จากการอ่อนค่าของดอลลาร์ กำลังก้าวไปแตะจุดสูงสุดที่แทบจะไม่เคยเห็นมาก่อน และกระตุ้นให้ "ธนาคารกลาง" เข้าแทรกแซงเพื่อควบคุมการแข็งค่าขึ้นมากเกินไป
"ธนาคารกลางฮ่องกง" (HKMA) ได้ขายดอลลาร์จำนวนมหาศาลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เพื่อป้องกันการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ฮ่องกง และปกป้องสกุลเงินที่ตรึงกับดอลลาร์สหรัฐมาเป็นเวลานานถึง 42 ปี ส่วน "ธนาคารกลางไต้หวัน" ได้เข้าแทรกแซงในขณะที่สกุลเงินดอลลาร์ไต้หวันแข็งค่าสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2531 ทางด้าน "เงินหยวน" ออฟชอร์ที่ซื้อขายกันนอกแผ่นดินจีน ก็พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 เช่นกัน
ความผันผวนนี้แสดงให้เห็นว่าการเทขายสินทรัพย์สหรัฐที่เป็นสกุลเงินสำรองหลักของโลก สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินได้อย่างไร นโยบายภาษีศุลกากรที่เปลี่ยนไปของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้เกิดความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนักค้าต่างแสดงมุมมองเชิงลบต่อดอลลาร์สหรัฐมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 ซึ่งเป็นสัญญาณของความลังเลใจเพิ่มขึ้นของนักลงทุนในการถือครองสินทรัพย์สหรัฐ
ผู้ส่งออกแห่เทขาย
ดอลลาร์ไต้หวันนำการแข็งค่าขึ้นของสกุลเงินในเอเชียเมื่อวันศุกร์ โดยแข็งค่าขึ้นถึง 3% เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติแห่เข้าตลาดหุ้นในประเทศ ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าบริษัทในสหรัฐยังคงต้องการเซมิคอนดักเตอร์จากไต้หวันอย่างแข็งแกร่งต่อไป บลูมเบิร์กอ้างนักค้าที่ไม่เปิดเผยชื่อว่า บรรดาผู้ส่งออกในประเทศยังแห่เทขายดอลลาร์อย่างบ้าคลั่ง โดยคาดว่าดอลลาร์อาจร่วงลงต่อเนื่องอีก
การพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ธนาคารกลางไต้หวันประกาศว่า "ได้เข้าดูแลตลาดในเวลาที่เหมาะสมแล้ว" เพื่อปรับการเคลื่อนไหวของราคา ส่วนในตลาดออปชั่น ผู้ค้ามีมุมมองบวกต่อสกุลเงินดอลลาร์ไต้หวันมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2551
ผลสำรวจของบลูมเบิร์กระบุด้วยว่า ทางด้านผู้ส่งออกของ "จีน" ซึ่งไม่คิดว่าดอลลาร์หรือพันธบัตรรัฐบาลจะเป็นที่หลบภัยกลางสงครามการค้าได้อีกต่อไป ก็ได้เปลี่ยนจากกลยุทธ์กักตุนดอลลาร์ หันมาใช้เงินหยวนมากขึ้น
นักวิเคราะห์จากโกลด์แมน แซคส์ ระบุในบันทึกว่า “ด้วยค่าเงินดอลลาร์ที่อยู่ภายใต้แรงกดดัน และแนวโน้มที่อัตราดอกเบี้ยจะลดลงจากความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐ ความเสี่ยงและผลตอบแทนของการเก็บดอลลาร์จึงดูแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดสำหรับผู้ส่งออกในเอเชีย” ขณะที่สกุลเงินต่างๆ รวมถึงหยวน ดอลลาร์ไต้หวัน และริงกิตมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น
ทางด้านประเทศอื่นๆ ในเอเชียนั้น เงินวอนเกาหลีใต้ ริงกิตมาเลเซีย และเงินบาทไทย ต่างก็พุ่งขึ้นมากกว่า 1% ส่วนตลาดออนชอร์ภายในประเทศของจีนปิดทำการเนื่องในวันหยุด และจะเปิดทำการอีกครั้งในวันอังคาร
ใช้ดอลลาร์กดดันเจรจาการค้าทรัมป์
สกุลเงินเอเชียรวมทั้งเงินเยนและเงินหยวนได้รับประโยชน์จากการนำเงินกลับเข้าประเทศและการลงทุนทางเลือก ท่ามกลางกระแส "Sell America" และกลยุทธ์ดังกล่าวดูเหมือนจะยังคงดำเนินต่อไปเหมือนเดิม แม้ว่ารัฐบาลปักกิ่งและวอชิงตันดูจะผ่อนปรนท่าทีต่อสงครามการค้าแล้ว โดยปักกิ่งกล่าวว่ากำลังประเมินความเป็นไปได้ในการเจรจากับสหรัฐ
“ทางออกตามธรรมชาติสำหรับความตึงเครียดทางการค้าส่วนใหญ่คือ การทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง” แบรด เบคเทล หัวหน้าฝ่ายอัตราแลกเปลี่ยนต่างประเทศของ Jefferies กล่าว “ดังนั้น การทำให้ค่าเงินเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงอีกเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเอเชียจึงอาจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้”
จากข้อมูลของบลูมเบิร์กพบว่า ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนต่างประเทศของเอเชียมีการเคลื่อนไหวผันผวนมากเมื่อวันศุกร์ โดยขึ้นไปแข็งค่าสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา และทำให้ผลตอบแทนจากอัตราแลกเปลี่ยนตลาดเกิดใหม่ปิดตลาดทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ล่าสุดในวันนี้ (5 พ.ค.) ค่าเงินดอลลาร์ไต้หวันพุ่งขึ้นอีกถึง 4.5% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ไปแตะระดับ 29.672 ในการซื้อขายเมื่อช่วงเช้า ซึ่งเป็นระดับที่แข็งค่ามากที่สุดในรอบกว่า 2 ปี ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2566 และเป็นการแข็งค่าขึ้นติดต่อกัน 6 วันทำการแล้ว ในขณะที่ดัชนีอ้างอิงตลาดหุ้นไต้หวันร่วงลงมากถึง 1.7%
“การเคลื่อนไหวดังกล่าวน่าจะมาจากการปรับสมดุลค่าเงินดอลลาร์สหรัฐในประเทศ เพื่อรอการทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐ ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่อค่าเงินของเอเชียได้ในระดับหนึ่ง” นามิก อิมเมลบัค จากธนาคาร Skandinaviska Enskilda Banken AB กล่าวและเสริมว่า จะมีการเก็งกำไรระยะสั้นในระดับหนึ่งซึ่งถูกปิดสถานะการขายอย่างรวดเร็ว
บลูมเบิร์กระบุว่าโดยปกติแล้ว คาดว่าธนาคารกลางไต้หวันจะเข้าแทรกแซงการเคลื่อนไหวของค่าเงินที่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อค่าเงินดอลลาร์ไต้หวันแข็งค่าขึ้นมาก แต่ดูเหมือนว่าในครั้งนี้จะไม่มีการแทรกแซงอย่างชัดเจน โดยการเคลื่อนไหวของค่าเงินเกิดขึ้นในขณะที่ไต้หวันกำลังเจรจากับรัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์เกี่ยวกับข้อตกลงภาษีศุลกากร เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ซึ่งทางการไต้หวันเปิดเผยเมื่อวันเสาร์ว่า ได้เจรจารอบแรกกับสหรัฐแล้ว แต่ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม
ที่มา.. https://www.bangkokbiznews.com/world/1178919