โพยหุ้น คัดหุ้นเด่นเดือนกันยายน
รับผลบวกเมื่อหุ้นไทยโดดเด่นกว่าหุ้นโลก

.
โพยหุ้นสัปดาห์นี้ เข้าสู่เดือนที่ 9 ของปีกันแล้ว อย่างเดือนกันยายน Wealthy Thai จึงได้รวบรวมหุ้นเด่นของเดือนนี้มาฝากนักลงทุน เพื่อเป็นแนวทางที่อาจจะ 9 สู่ความมั่งคั่ง โดยนักวิเคราะห์มองว่าหุ้นไทยยังมีความโดดเด่น เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มฟื้นเด่นกว่าหลายประเทศทั้งครึ่งหลังปี 65 และปี 66
.
มุมมองบล.เอเซีย พลัส ระบุ กลยุทธ์การลงทุนประจำเดือน กันยายน ภายใต้หัวข้อที่น่าสนใจ “หุ้นไทยไฉไลกว่าหุ้นโลกเหลือเกิน” โดยเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มฟื้นเด่นกว่าหลายประเทศทั้งครึ่งหลังปี 65 และปี 66 ขณะที่กำไรเด่นนำไปสู่การเพิ่มเป้าหมาย SET ปลายปี 65 ที่ 1,730 จุด อย่างไรก็ตามอาจมีความกังวลเรื่อง QT และเงินเฟ้อบ้าง แต่แรงกดดันจากการขึ้นดอกเบี้ยน้อยกว่าประเทศอื่นๆ แนะนำหุ้นกำไรครึ่งหลังของปี 65 ไฉไล คาดหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาด TIDLOR, M, HMPRO, CK, CKP, PLANB, SCB
.
โดยภาพเศรษฐกิจไทยเห็นสัญญาณการฟื้นตัวต่อในช่วงครึ่งหลังของปี 65 คาดไม่ต่ำกว่า 3.6%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ภายใต้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตสูงกว่า 3% หลักๆ มาจากการเปิดประเทศเต็ม รูปแบบ ซึ่งจะเป็นตัวสร้างกิจกรรมเศรษฐกิจให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งในภาคท่องเที่ยวและบริการ สวนทางกับเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่บางประเทศเข้าสู่ภาวะ Recession บางประเทศ GDP Growth รายไตรมาสเริ่มติดลบ และบางประเทศส่ง สัญญาณการชะลอตัวชัดเจน จากสภาวะตลาดหุ้นไทยดูมีเสน่ห์มากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง หนุนให้ฝ่ายวิจัยปรับระดับ Market Earning Yield Gap ที่ใช้กำหนดเป้าหมายดัชนีจาก 4.4% มาเป็น 4.2%
.
ดังนั้นจึงเชื่อว่าน่าจะขับเคลื่อนให้ Fund Flow ไหล เข้าสู่ตลาดหุ้นไทยต่อ อีกทั้งปัจจุบันสัดส่วนการถือครองหุ้นไทย ทางตรงจากต่างชาติยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติไม่ถึง 22% มีช่องว่าง ให้ไหลเข้ามาได้อีก หรือยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 26.2% อีกทั้งในอดีต 9 ปี ที่แล้ว ต่างชาติยังเคยถือครองสูงถึง 30.2%
.
ขณะที่มุมมองของบล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวเดือน ก.ย. ที่ 1,600-1,670 จุด แม้ตลาดหุ้นทั่วโลกจะถูกกดดันจากถ้อยแถลงของ FED ที่ Hawkish มากขึ้น แต่มองกระทบหุ้นไทยจำกัดและยังคงให้น้ำหนักกับเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวตามการเปิดประเทศ รวมถึงการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่ช่วยหนุนกำลังซื้อ
.
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นคาดว่ายังหนุนกลุ่มพลังงานซึ่งเป็น Sector ใหญ่ของตลาด ทำให้การพักตัวคาดไม่รุนแรง กลยุทธ์จึงยังเน้นลงทุนในกลุ่ม Domestic และ Reopening Play โดยเฉพาะที่ Valuation ยัง Laggardจาก SET Index ที่ฟื้นเร็วในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา เดือนกันยายนนี้ แนะนำ CPN, KTB, M, PRM, TU
.
ส่วนนายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล. ทิสโก้ จำกัด ระบุว่า หากดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ขึ้นผ่านจุดสูงสุดชั่วคราวที่บริเวณดัชนี 1,650 - 1,665 จุด มองระดับการปรับฐานที่น่าสนใจต่อการทยอยสะสมจะอยู่ที่บริเวณ 1,570 - 1,600 จุด และโอกาสจะกลับมาปรับตัวขึ้นอีกครั้งในไตรมาส 4 โดยยังคงเป้าหมาย SET Index ที่เหมาะสมปีนี้ที่ 1,720 จุด
.
ขณะที่หุ้นเด่นที่แนะนำในเดือนกันยายน คือ AOT, CENTEL, CK, DMT, HANA, SCB, SPA และ TFG ด้านแนวรับสำคัญเดือนนี้อยู่ที่ 1,600 จุด และแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,650 - 1,665 จุด และ 1,700 จุดตามลำดับ
.
ด้านมุมมองของบล.กสิกรไทย ระบุว่า โดยคาดตลาดหุ้นไทยจะ outperform ตลาดหุ้นทั่วโลกที่กำลังปรับฐาน และเพิ่มเป้า SET Index ปี 2565 ขึ้นเป็น 1,740 จุด (จาก 1,650 จุด) จากการปรับ EPS ขึ้น และลดสมมติฐานอัตราตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ของไทยลง โดยมีมุมมองบวกต่อตลาดหุ้นไทยจากแนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้น สถานะการเงินที่แข็งแกร่งและได้รับผลกระทบน้อยลงจากปัจจัยลบต่างๆ หุ้นเด่นในเดือนนี้ ได้แก่ KKP, KTB, SAWAD, SINGER, CPALL, COM7,CK, BEM, AWC, CENTEL, AMATA, ANAN, RBF, BGRIM, BH และ D
.
และสุดท้ายนายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนเดือนกันยายน 2565 ว่า คาดตลาดหุ้นไทยในเดือนกันยายนแกว่งตัวผันผวน โดยมีกรอบแนวต้านแรกที่ 1650 จุดและกรอบแนวต้านสำคัญที่ 1690 จุด ในทางตรงกันข้าม ประเมินแนวรับสำคัญที่บริเวณ 1570 จุด ในเชิงกลยุทธ์ มองจุดการเข้าเพิ่มน้ำหนักที่เริ่มปลอดภัยจะอยู่ที่บริเวณดัชนี 1600-1610 จุดหรือต่ำกว่า
.
สำหรับธีมหุ้นแนะนำประจำเดือนนี้ ได้แก่ 1.กลุ่มหุ้น Domestic play ที่ราคายังคง Laggard เช่น ธนาคาร (BBL, KBANK, SCB) และกลุ่มสื่อฯ (BEC, ONEE, PLANB) 2.กลุ่มสื่อสารที่ราคาหุ้นปรับลงจน Valuation อยู่ในระดับน่าสนใจ (ADVANC, DTAC, TRUE)
3.กลุ่มโรงพยาบาลขนาดกลาง-เล็กที่ได้ประโยชน์จากนโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ (CHG, PRINC, RJH) 4.กลุ่มหุ้นส่งออกอาหาร-เกษตรที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า และเห็นยอดการส่งออกเติบโตต่อเนื่อง (ASIAN, TU, GFPT, TFG)




