10 หุ้นที่ต่างชาติเทขายมากที่สุดใน 1 เดือนที่ผ่านมา กับเบื้องหลัง ต่างชาติขายหุ้นไทย 8 แสนล้าน
แม้ว่าวัคซีน Covid-19 จะมีความคืบหน้า แต่สถานการณ์การแพร่ระบาด Covid-19 ยังวางใจไม่ได้ขนาดนั้น แม้ว่าในช่วงครึ่งปีหลังแม้ว่าสำนักเศรษฐกิจทั่วโลกจะมองตรงกันว่าบรรยากากาศการลงทุนจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ก็ยังเป็นลักษณะปรับขึ้นที่ยังมีโอกาสผันผวนอยู่ วันนี้ Wealthy Thai รวบรวมข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มาฝากกันว่าในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา (ข้อมูลวันที่ 20 ก.ค.63) หุ้น 10 ตัวแรกที่นักลงทุนต่างชาติ (Foreign Ownership) เทขาย
ทั้งนี้การขายสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่องกว่า 800,000 ล้านบาทในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา จริงๆ แล้วเป็นแค่ปัจจัยในตลาดหุ้นเท่านั้น หรือเป็นการเทขายหุ้นที่เปลี่ยนการลงทุนรายภูมิภาคไปเรื่อยๆ หรือที่จริงแล้วมีเหตุผลเบื้องหลังหรือไม่ บทความนี้มีคำตอบมาฝากกัน
สำหรับหุ้น 10 ตัวดังกล่าว แม้จะถูกเทขาย แต่แน่นอนว่า หุ้นเหล่านี้ยังเป็นหุ้นขนาดใหญ่หรือหุ้นบิ๊กแค็ปที่มีความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ แต่นัยที่อยู่เบื้องหลัง “การเทขายหุ้นไทย” บทวิเคราะห์ KKP Research ของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร อธิบายว่า ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา หรือในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่อง 800,000 ล้านบาท ภาวะที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่เพียงกดดันผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นไทยเท่านั้น แต่เป็นสัญญาณเตือนว่าเศรษฐกิจไทยในอนาคตอาจตกต่ำอย่างยาวนาน หรืออาจจะ “ถาวร” เพราะนอกจากตัวเลขการเทขายหุ้นไทยแล้ว สัดส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ก็ลดลงเช่นกัน จาก 44% เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ลดลงเหลือเพียง 14% ในปีปัจจุบัน
คำถามคือทำไมนักลงทุนต่างชาติถึงขายหุ้นไทยมากและต่อเนื่องขนาดนี้?
KKP Research อธิบายในประเด็นดังกล่าวว่า เรื่องแรกคือข้อจำกัดในเรื่องการลงทุน นักลงทุนต่างชาติมีตัวเลือกในการลงทุนได้ทั่วโลก ขณะที่เงินลงทุนของนักลงทุนไทยส่วนใหญ่จะอยู่แค่ในประเทศ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะข้อจำกัดด้านการหาข้อมูล ทำให้นักลงทุนเลือกที่จะลงทุนในประเทศเป็นหลัก ซึ่งในประเด็นนี้มีตัวเลขยืนยันจาก MSCI INDEX ระบุว่า ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยแทบไม่โตเลย สวนทางกับ MSCI สหรัฐ ที่โตถึง 100% ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ MSCI Asia ex-Japan โตขึ้น 50% ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา
ปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจ ทำให้ GDP โตต่ำ
ปัจจัยที่ 2 คือ เศรษฐกิจไทยโตต่ำ ต่างชาติย้ายฐานการผลิต จากการวิเคราะห์ของ KKP Research อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยลดต่ำมาโดยตลอด จากค่าเฉลี่ย GDP ที่ 7% ช่วงก่อนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง และในช่วง 7 ปีล่าสุด GDP โตเฉลี่ยแค่ 3% ต่อปีเท่านั้น โดยองค์ประกอบหลักที่ทำให้ GDP กระเตื้องขึ้นไม่ได้ เป็นผลมาจาก “การขาดการลงทุน” ขณะเดียวกันเมื่อเศรษฐกิจไทยต้องพึ่งพิงการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นหลัก เศรษฐกิจจึงได้รับผลกระทบในระยะสั้นและขาดปัจจัยหนุนในระยะยาว
บริษัทจดทะเบียนไทยก็หนีไปลงทุนต่างประเทศ
นอกจากนี้บริษัทขนาดใหญ่ของไทยเองก็นิยมออกไปลงทุนในต่างประเทศ เนื่องจากผลตอบแทนจากการลงทุนในไทยอยู่ในระดับต่ำ ทั้งจากแนวโน้มสังคมผู้สูงอายุ ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำในประเทศ พัฒนาการด้านเศรษฐกิจที่โตแบบกระจุกตัวในหลายมิติ ส่งผลให้โอกาสในการทำกำไรของบริษัทลดลงด้วย ขณะเดียวกันสินค้าและบริการของไทยไม่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลกที่กำลังเปลี่ยนไป อุตสาหกรรมเดิมๆ เทคโนโลยีแบบเก่ายังเป็นตัวขับเคลื่อนตลาด และ 3.ต้นทุนแรงงานที่สูง เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ KKP Research ยังมองว่าค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่ามาโดยตลอด จากปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้การแข่งขันด้านราคาทำได้ยากขึ้น
และอีกสาเหตุที่บริษัทใหญ่นิยมไปลงทุนในต่างประเทศ มากกว่าการพึ่งพิงการลงทุนในประเทศ ก็เพราะว่าภาคธุรกิจขาดแรงจูงใจในการแข่งขันและโอกาสในการลงทุน ตลอดจนความไม่มีเสถียรภาพของนโยบายเศรษฐกิจและการเมืองต่อทิศทางเศรษฐกิจ
ดังนั้นการ “เทขายหุ้นไทย” จึงไม่ใช่แค่ปัจจัยระยะสั้นจาก Covid-19 เท่านั้น แต่ KKP Research มองว่าเป็นเครื่องสะท้อนที่ชัดเจนถึงการขาดความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในอนาคต
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก