ห้องเม่าปีกเหล็ก

ถุงมือยาง...เริ่มคืนชีพ

โดย GREEN WAY
เผยแพร่ :
79 views

ถุงมือยาง...เริ่มคืนชีพ

หลังจากเผชิญภาวะซบเซายาวนานถึง 2 ปีเต็มในช่วงหลังโควิด โลกเคยมีสต็อกถุงมือยางล้นตลาดจนราคาดิ่งเหว แต่ปี 2567 คือจังหวะ “รีสตาร์ท” ของอุตสาหกรรมนี้ เมื่อมาตรฐานสุขอนามัยเข้มข้นขึ้น อุตสาหกรรมอาหารและการผลิตทั่วโลกกลับมาพึ่งพาถุงมือยางมากกว่าที่เคย

คำถามคือ…ไทยจะเป็นเพียงผู้ผลิต OEM ราคาถูก หรือก้าวสู่ “แบรนด์ถุงมือยางระดับโลก” ได้จริง?

 

มาเลย์ครองแชมป์ แต่ไทยก็ไม่ธรรมดา

ทั่วโลกผลิตถุงมือยางกว่า 300,000 ล้านชิ้น/ปี โดยมาเลเซียยังครองความเป็นผู้นำ ผ่านบริษัท Top Glove ที่มีกำลังการผลิตสูงถึง 95,000 ล้านชิ้นต่อปี ขณะที่ไทยมี “ศรีตรังโกลฟส์” ติดอันดับ Top 5 ของโลก ผลิตกว่า 51,000 ล้านชิ้น โรงงานไทยรวมกว่า 69 แห่ง กระจายอยู่ใกล้สวนยางภาคใต้ เชื่อมโยงตั้งแต่เกษตรกรจนถึงแรงงานในโรงงาน

 

ตลาดโลกฟื้นแรง

ปี 2567 มูลค่าการส่งออกถุงมือยางทั่วโลกพุ่งขึ้นสู่ 9.3 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 24% YoY หลังจากหดตัวเฉลี่ย 45% ต่อปีในช่วงก่อนหน้า มาเลเซียยังเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 รองลงมาคือจีนและไทย ซึ่งทั้งสามประเทศรวมกันครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 75% ของตลาดโลก โดยสหรัฐฯ ยังเป็นผู้นำเข้าหลัก คิดเป็น 30%

 

ไทยส่งออกพุ่ง แต่ยังพึ่งสหรัฐฯ หนัก

ไทยส่งออกกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ โต 17% YoY ตลาดหลักคือสหรัฐฯ 39% รองลงมาคือญี่ปุ่นและบราซิล จุดแข็งของไทยคือการอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบ มีแรงงานฝีมือ และมาตรฐานการผลิตที่เป็นที่ยอมรับ เช่น ศรีตรังโกลฟส์ที่ได้รับการจัดอันดับใน S&P Global Sustainability Yearbook 2024

 

จุดแข็งที่ทำให้ไทยยังคงยืนหยัด

ไทยเป็นผู้ผลิตยางพารารายใหญ่ของโลก ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบต่ำกว่า มีแรงงานเชี่ยวชาญ และมีผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่–รายเล็ก ครอบคลุมทั้งตลาดแมสและตลาดเฉพาะ อีกทั้งยังได้รับการยอมรับด้านมาตรฐานการผลิตทางการแพทย์และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะมิติความยั่งยืนที่ผู้บริโภคและคู่ค้าระดับโลกให้ความสำคัญ

 

กับดักที่ฉุดรั้งอุตสาหกรรมไทย

อย่างไรก็ดี ไทยยังเผชิญข้อจำกัด ได้แก่

• พึ่งพาสหรัฐฯ มากเกินไป เสี่ยงต่อการเปลี่ยนนโยบาย

• การแข่งขันด้านราคา ที่เป็นรองจีนและอินเดีย

• กว่า 80% ของผู้ผลิตยังทำ OEMขาดการสร้างแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์

• โรงงานรายเล็กเผชิญแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรง

 

อนาคต: หากทำได้ vs หากไม่ทำ

อนาคตของอุตสาหกรรมนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวต่อกฎระเบียบใหม่ของ EU (EUDR) การนำ AI และระบบอัตโนมัติมาใช้ การขยายตลาดสู่ EU และ BRICS และที่สำคัญที่สุดคือการสร้าง “แบรนด์ถุงมือยางไทย”

 

หากทำได้ → ถุงมือยางไทยจะก้าวจากสินค้าต้นน้ำไปสู่สินค้าสัญลักษณ์ของชาติ ยืนเคียงข้างข้าวและยานยนต์บนเวทีโลก

หากไม่ทำ → อุตสาหกรรมอาจถดถอยเหลือเพียง “โรงงานรับจ้างผลิต” ที่ถูกบีบด้วยการแข่งขันด้านราคา

 

ต้นกำเนิดและวิวัฒนาการของถุงมือยาง

แม้ปัจจุบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเป็นศูนย์กลางการผลิตถุงมือยางของโลก แต่ความจริงแล้ว ต้นกำเนิดของถุงมือยางอยู่ที่สหรัฐฯ ย้อนกลับไปปลายศตวรรษที่ 19 ศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ William Stewart Halsted แห่งโรงพยาบาล Johns Hopkins เป็นผู้ริเริ่มนำถุงมือยางมาใช้ในห้องผ่าตัด

แรงบันดาลใจแรกไม่ได้เกิดจากการป้องกันเชื้อโรค แต่จากความเป็นห่วง Caroline Hampton พยาบาลที่แพ้สารเคมีฆ่าเชื้อ Halsted จึงสั่งให้หล่อมือของเธอด้วยปูนพลาสเตอร์ แล้วส่งไปยังโรงงาน Goodyear เพื่อผลิตถุงมือยางบาง ๆ แบบพิเศษกลับมา เมื่อถุงมือนี้ถูกนำมาใช้จริง กลับพบว่า ช่วยลดการติดเชื้อระหว่างการผ่าตัดได้อย่างมีนัยสำคัญ และกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการแพทย์สมัยใหม่ เรื่องราวยังลงเอยด้วยความโรแมนติก เพราะถุงมือยางกลายเป็น “สื่อรัก” ที่ทำให้ Halsted และ Hampton แต่งงานกันในที่สุด

อย่างไรก็ตาม การใช้ถุงมือยางไม่ได้หยุดอยู่แค่ “โรงพยาบาล” เท่านั้น เมื่อโลกก้าวสู่ยุคอุตสาหกรรมสมัยใหม่ การใช้งานได้ขยายไปยังหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมอาหาร เพื่อป้องกันการปนเปื้อนและรักษามาตรฐานความปลอดภัยของผู้บริโภค อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ที่ต้องการสภาพปลอดฝุ่นในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ อุตสาหกรรมการผลิตทั่วไป เช่น ห้องแล็บเคมีหรือสายการผลิตเครื่องจักรที่ต้องป้องกันการสัมผัสสารอันตราย

ปัจจุบัน ถุงมือยางจึงไม่ได้เป็นเพียง “อุปกรณ์แพทย์” อีกต่อไป แต่เป็น สินค้าหัวใจของซัพพลายเชนโลก เชื่อมโยงความปลอดภัยของผู้บริโภคเข้ากับมาตรฐานการผลิตของอุตสาหกรรมแทบทุกประเภท

 

ถุงมือยางไทยอาจไม่ใช่สินค้าหรูหรา แต่คือ “ฮีโร่เงียบ” ของเศรษฐกิจไทย วันนี้เรายืนอยู่บนเส้นทางแห่งทั้งโอกาสและความเสี่ยง คำถามคือ…ไทยจะเลือกเดินไปทางไหน?

.

เรื่องและภาพ: สิทธิศักดิ์ ชุณหรุ่งโรจน์ Economist, Bnomics

════════════════

 

 

ที่มาเนื้อหาจาก.. Bnomics by Bangkok Bank


GREEN WAY