อุปกรณ์คอมพิวเตอร์กลับมาอยู่ในกระแสอีกครั้ง หลังจากการพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงของค่าเงินดิจิตอลอย่าง Bitcoin ทำให้มีคนจำนวนมากพร้อมใจกันหาซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์จนเกิดเป็นปรากฏการณ์ "การ์ดจอขาดตลาด" ซึ่งถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผลักดันให้ราคาการ์ดจอและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์บางส่วนปรับราคาขึ้นมา ทำให้มาร์จินดีขึ้น
แต่เดิม เราปฏิเสธไม่ได้ว่ากระแสของอุปกรณ์ Smartphone และ Tablets กำลังจะมาแทนที่คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และโน๊ตบุค(Notebook) หรือแม้ว่าคนที่อยากจะได้คอมพิวเตอร์สักเครื่อง ก็จะเอาคอมพิวเตอร์ราคาประหยัดที่ใช้ทำงานเล่นอินเตอร์เน็ตได้ก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานแล้ว แต่หลังจากที่กระแสการขุด Bitcoin คอมพิวเตอร์ที่มีศักยภาพสูงจะขุด bitcoin ได้มากกว่า คนจำนวนมากจึงแห่กันประกอบคอมพิวเตอร์โดยใช้ชิ้นส่วนราคาแพงเพื่อทำให้คอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น
IT หรือ บริษัท ไอที ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจค้าปลีก ( Retail Superstore) จำหน่าย เครื่องคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต (Tablet ) อุปกรณ์ต่อพ่วง โทรศัพท์มือถือ (Smart Phone) รวมถึงสินค้าที่เกี่ยวข้องทางด้านไอทีและ Smart Phone แบบครบวงจร ภายใต้ชื่อทางการค้าว่า "ไอที ซิตี้" โดยเป็นการ spin off มาจาก SVOA
IT มีผลประกอบการที่ขึ้นๆลงๆมาโดยตลอด บางปีขาดทุน บางปีมีกำไร เช่นในปี 2556 บริษัทมีผลประกอบการขาดทุน 8.8 ล้านบาท ในปี 2557 ขาดทุน 11.3 ล้านบาท ก่อนที่จะกลับมามีกำไรที่ 22 ล้านบาท และ 15 ล้านบาทในปี 2558 และ 2559 ตามลำดับ ถึงแม้ว่าบริษัททำกำไรแต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เพียงพอกับราคาหุ้นที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ส่งผลให้บริษัทมีค่า P/E ratio ที่สูงถึงเกือบ 50 เท่า และปันผลอยู่ราวๆ 1.5%
บริษัทมี P/Bv ที่ไม่ไดสูงนัก อยู่ที่ประมาณ 1 เท่า แต่เนื่องจากที่มี P/E สูงและความไม่แน่ชัดในเรื่องผลประกอบการ จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมนักในหมู่นักลงทุน
อย่างไรก็ตาม IT ประกาศผลประกอบการออกมาได้อย่างน่าประทับใจในไตรมาส 2/60 กำไรที่ 20.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.7 ล้านบาท เมื่อเทียบในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น 3.27% แต่กำไรเติบโตถึง 9.14% เนื่องมาจากมาร์จิ้นของการขายสินค้าที่เพิ่มขึ้น
ในขณะเดียวกัน รายจ่ายของบริษัท การบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพทำให้รายจ่ายของบริษัทลดลง 1.4% ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกของบริษัท และทีมผู้บริหารที่สามารถบริหารงานได้อย่างดีเยี่ยม
ก่อนหน้านี้ IT ประกาศเสนอซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นเป็นการทั่วไป เมื่อวันที่ วันที่ 8-22 พ.ค. 60 ที่ผ่านมา ปรากฎว่าสามารถซื้อได้เต็มจำนวนที่ต้องการ 63 ล้านหุ้น ที่ราคา 4 บาท ซึ่งสูงกว่าราคากระดานช่วงนั้น ที่เคลื่อนไหวในระดับ 3 บาทกว่า
บล. ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำซื้อ IT โดยปรับราคาเป้าหมายปี 2017 ขึ้นเป็น 5 บาท จากเดิม 4.70 บาท จากการปรับประมาณการกำไรและผลของการซื้อหุ้นคืน 63 ล้านหุ้น
เรายังชอบ IT ในฐานะหุ้น Turnaround กลุ่ม Small cap โดยคาดการณ์กำไรสุทธิ 2Q17 ที่ 13 ล้านบาท (+106%Q-Q, +19%Y-Y) จะเป็นกำไรรายไตรมาสสูงที่สุด นับตั้งแต่ผลประกอบการพลิกจากขาดทุนเป็นกำไรใน 3Q14 ส่วนกำไรสุทธิทั้งปีนี้คาดโต 215%Y-Y อยู่ที่ 48 ล้านบาท จากปัจจัยหนุนด้านกำลังซื้อที่เริ่มฟื้น
ส่วนแนวโน้มการเติบโตใน 3 ปีข้างหน้า เรามั่นใจว่า IT ผ่านช่วงแย่ที่สุดของวงจรขาลงทางธุรกิจไปแล้ว ซึ่งประสิทธิภาพการใช้พื้นที่หน้าร้านที่สูงขึ้น สะท้อนมายังอัตรากำไรขั้นต้นที่ค่อยๆ ฟื้นตัวจนคาดว่าจะแตะ 12% ในปี 2018 ราคาปัจจุบันที่ยังไม่ทำจุดสูงสุดใหม่ ขัดแย้งกับกำไรต่อหุ้นรายไตรมาสที่จะทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี อีกทั้ง PBV ที่ 1.1 เท่า ยังต่ำกว่ากลุ่มที่ 3.1 อยู่มาก Downside ในเชิงปัจจัยพื้นฐานจึงอยู่ในระดับที่จำกัด
กระแสของ Bitcoin ถือเป็นตัวชูโรงที่ทำให้นักเก็งกำไรกลับเข้ามามองหุ้นกลุ่มคอมพิวเตอร์เทคโนโลยีขึ้นมาอีกครั้ง แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า กระแสเหล่านี้มาเร็วไปเร็ว เราไม่รู้แน่ชัดว่าจะยืนอยู่ได้อย่างยั่งยืนหรือไม่ ถ้ากระแสเกิดล้มไปแล้ว อนาคตของ IT จะเป็นอย่างไรต่อไป บริษัทมีการกระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจอื่นอีกหรือไม่ ยังคงเป็นคำถามในใจนักลงทุนอยู่ตลอดเวลา