CPALL เผยปี 66 ยอดขายสาขาเดิมโต 3-4% เดินหน้ารัดเข็มขัดบริหารต้นทุนการเงิน
นางสาวจิราพรรณ ทองตัน หัวหน้าสำนักลงทุนสัมพันธ์Head of Investor Ralation บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL เปิดเผยในงาน Opportunity Day ในวันนี้ว่า แนวโน้มรายได้จากร้านเดิมในปีนี้คาดว่าจะเติบโตสอดคล้องกับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของประเทศ ที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 3-4% โดยมองว่าการกลับมาของนักท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญ

.
“การท่องเที่ยว โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติหากเข้ามาได้มากจะเป็นอัพไซต์ยอดขายจากสาขาเดิมของเซเว่นฯ ได้ นอกจากนี้ การกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทั้งการท่องเที่ยว จะเป็นเชิงบวกที่ได้เห็นกับยอดขายของร้าน ขณะเดียวกันการเลือกตั้งจะเป็นปัจจัยบวกชั่วคราวในช่วงการหาเสียง ซึ่งจะทำให้มียอดขายภายในร้านได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย หรือปีนี้ ที่มอง่ว่าไตรมาส 2/66 จะเป็นช่วงร้อนมากจะเป็นบวกต่อร้านสะดวกซื้อ”นางสาวจิราพรรณ กล่าว
.
สำหรับปีนี้ บริษัทตั้งเป้าเปิดสาขา 7-Eleven ทั้งสิ้น 700 สาขา และมองว่าจะเพิ่มยอดขายจากร้านเดิมเติบโต 5-6% และมองว่าการขยายสาขาเพิ่มจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยเพิ่มอัตราการเติบโตของรายได้ร้านเดิม ด้านแผนการขยายสาขาในต่างประเทศ โดยเฉพาะร้านสะดวกซื้อ ปัจจุบันได้รับสิทธิการบริหารจัดการ 2 ประเทศเพิ่มขึ้น คือ กัมพูชา และลาว ในปี 65 ที่ผ่านมาได้เปิดสาขาใหม่ในกัมพูชา 38 สาขา ปิดปี 65 มีร้านทั้งสิ้น 42 สาขา และคาดว่าปีนี้จะเปิดเพิ่ม 30-40 สาขา โดยร้านที่เปิดในกัมพูชากระจายในหลายจังหวัด และเปิดในพื้นที่ที่หลากหลาย โดยมองว่ามีศักยภาพในการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
.
ส่วนสปป.ลาว เนื่องจากเป็นประเทศที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก ปีนี้บริษัทตั้งเป้าเปิดสาขา 1-2 สาขาในลาว ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะเปิดได้ 1 สาขาหรือไม่ในช่วงครึ่งปีแรก
.
ด้านงบลงทุนปีนี้ตั้งเป้า 12,000-13,000 ล้านบาท โดยจะใช้ในการเปิดสาขาใหม่ประมาณ 3,800-4,000 ล้านบาท ปรับปรุงสาขาเดิม 2,900-3,500 ล้านบาท ใช้ในการลงทุนในโครงการใหม่ๆ 4,000-4,100 ล้านบาท และใช้ในระบบไอที 1,300-1,400 ล้านบาท ขณะที่งบลงทุนสำหรับธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกตั้งงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 25,300-27,500 ล้านบาท
.
ด้านต้นทุนทางการเงินในปีนี้บริษัทยังคงอยู่ในสภาวะของการรัดเข็มขัด และเชื่อมั่นว่ายังคงบริหารจัดการได้ดี ด้านหุ้นกู้ที่อยู่ภายใต้ของบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO ซึ่งมีบางส่วนที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ หรือ ดอลลาร์ โดยอัตราดอกเบี้ยยังลอยตัว และสูงกว่าท้องตลาด ซึ่งมองว่าอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงินได้ แต่อย่างไรก็ตาม MAKRO มีแผนที่จะชำระหนี้คืน หรือรีไฟแนนซ์เงินกู้ให้อยู่ในรูปของสกุลเงินบาทและมีอัตราดอกเบี้ยที่คงที่ ดังนั้นคาดว่าในไตรมาส 2 นี้ มีโอกาสที่จะออกหุ้นกู้บางส่วน
***********************************