หุ้นเด่นวันนี้ ! 5 โบรกชี้เป้า 14 หุ้นน่าเก็งกำไร ชู Domestic- Defensive TNN Wealth
หุ้นน่าซื้อวันนี้ 28 มิ.ย. 65โบรกมองหุ้นไทยรีบาวด์ทางเทคนิค แรงหนุนช่วงสั้นจากการทำ Window dressing ของกองทุนในช่วงปลายไตรมาส 2 ประเมินกรอบเคลื่อนไหว 1,570-1,590 จุด เน้นไปที่หุ้น Domestic และ Defensive ขนาดใหญ่
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า การเคลื่อนไหวของ SET Index เมื่อวานนี้ปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านที่ระดับ 1,580 จุด เทียบเท่าปรับบวกเพิ่มขึ้น 11.44 จุด หนุนจาก Sentiment เชิงบวกจากการปราศรัยของประธาน FED สาขา St. Louis เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาถึงแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่งพร้อมรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ตึงตัวและตลาดให้ความกังวลต่อโอกาสเกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากเกินไป
นอกจากนี้ตลาดเริ่ม Priced-in แนวโน้มการปรับตัวลดลงของราคาพลังงานและสินค้าอุปโภคบริโภคที่เริ่มสะท้อนโอกาสเงินเฟ้อใกล้ถึงจุดพีค ส่งผลให้คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายผ่าน Fed Fund Future ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 3.25-3.50%
กลุ่มหุ้นที่หนุนการฟื้นตัวของ SET Index เมื่อวานนี้หลักๆ มาจาก 1. กลุ่มพลังงานต้นน้ำหลังราคาน้ำมันชะลอการปรับตัวลดลงในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา และ 2.การฟื้นตัวของกลุ่มหุ้นที่ได้รับผลประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่เริ่มทรงตัวหลังการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นปี คือหุ้น Growth/Tech อาทิ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
สำหรับการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ที่สำคัญได้แก่1.US Index ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 สู่ 103.9 จุดจากแนวโน้มนโยบายการเงินสหรัฐฯ ที่มีโอกาสตังตัวน้อยกว่าคาด 2. ราคาน้ำมันดิบNYMEX เกิดการรีบาวน์ขึ้นสู่ระดับ US$110/bbl 3. Bond Yield 10 ปี สหรัฐฯ ทรงตัวที่ระดับ 3.21% และ 4. ราคาทองคำ Spot ปิดทรงตัวที่ US%1,822/oz
ส่วน Highlight ของสัปดาห์ติดตามการประชุม ECB วันที่ 28-29 มิ.ย. หลังการประกาศถึงแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อป้องกันเงินยูโรอ่อนค่า ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรประเทศสมาชิกที่มีสัดส่วนหนี้สินต่อ GDP สูง เช่น อิตาลี ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเหนือ 4.0% สร้างความกังวลต่อความเหลื่อมล้ำของผลกระทบทางเศรษฐกิจรายประเทศ คาดตลาดติดตามการรับมือต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวขึ้น, สภาวะเงินเฟ้อที่ยังเป็นขาขึ้น และผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากการเริ่มใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัว
อย่างไรก็ตาม เราคาด SET Index วันนี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideway to Sideway up ในกรอบ 1,570-1,590 จุด และเน้นกลยุทธ์การลงทุนรายสัปดาห์เพื่อเก็งการปรับพอร์ตของกองทุนในช่วงปลายไตรมาส 2 (Window Dressing) โดยเน้นไปที่หุ้น Domestic และ Defensive ขนาดใหญ่ อาทิ กลุ่มสื่อสาร, ค้าปลีก และธนาคารเป็นหลัก
หุ้นเด่น ตัวแรกคือ KBANK เราคงมุมมองบวกต่อกลุ่มธนาคาร หลังเข้าร่วมประชุมกับธปท. และมีสัญญาณชัดเจนต่อการปรับนโยบายการเงินให้มีความตึงตัวมากขึ้น เพื่อควบคุมเงินเฟ้อในระยะกลาง และลดแรงกดดันส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทย-สหรัฐฯ ดังนั้น เราคาดว่ามีโอกาสสูงที่ กนง.จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก 0.50% เป็น 0.75% ในการประชุม กนง.วันที่ 10 ส.ค.
ปัจจัยบวกที่รออยู่ คือ กำไร 2Q65 คาดเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากสินเชื่อที่เติบโตและการตั้งสำรองที่ลดลง ขณะที่ปัจจัยหนุนระยะกลาง คือ คาดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) จะปรับตัวขึ้นในปี 2566 จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยตั้งแต่ 3Q65
หุ้นเด่น ถัดมาคือ ADVANC เราคาดว่า SET INDEX ในสัปดาห์นี้มีโอกาสฟื้นตัวจากแรงหนุนของ Window Dressing โดยคาดว่าหุ้นหลักในกลุ่มสื่อสารจะได้อานิสงค์ดังกล่าว เนื่องจาก 2QTD ราคาหุ้น ADVANC -14.0% เทียบกับ SET INDEX -7.0%
ขณะที่ปัจจัยหนุนเชิง Sentiment คือ คาด กสทช.จะมีความคืบหน้าในการควบรวมกิจการระหว่าง DTAC-TRUE ภายใน 10 ก.ค. เราประเมินว่าไม่ว่าผลตัดสินจะออกมาเช่นใดล้วนเป็นประโยชน์ต่อ ADVANC เช่น ถ้าให้ควบรวมจะส่งผลให้ตลาดมองบวกกับอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น แต่ถ้าไม่ให้ควบรวม ADVANC จะคงความแข็งแกร่งและเป็นผู้นำตลาด
หุ้นเด่น อีกตัวคือ CPALL แนวโน้มกำไร 2Q65 คาดเติบโต YoY จาก SSSG ที่เร่งตัวขึ้น QTD ได้แก่ 7-Eleven +10-12%, MAKRO +6-9% YoY และได้ประโยชน์จากมาตรการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมทั้งการผ่อนปรนระยะเวลาเปิดสถานบันเทิงตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.
คาดบริษัทเตรียมปรับแผนแหล่งเงินทุนใน 2H65 โดยปัจจุบันมีหนี้สินที่มีดอกเบี้ยราว 1 แสนลบ. ราว 32% เป็นหนี้ที่มีดอกเบี้ยลอยตัว ต้นทุนทางการเงินราว 3.5-4.0% ดังนั้น ทุก 0.50% ของดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจะกระทบต่อประมาณการกำไรปี 2566 ราว 2% ซึ่งถือว่าไม่มากนัก ดังนั้น เราคงประมาณการกำไรปี 2566 ที่ 1.9 หมื่นลบ. เพิ่มขึ้น +28% YoY
หุ้นเด่นสุดท้าย UBE ภาพทางเทคนิค แนวต้าน 2.08 บาท แนวรับ 1.98 บาท และ Stop loss หากต่ำกว่า 1.92 บาท
คาดกำไรปกติ 2Q65 เติบโต YoY จากยอดขายธุรกิจแป้งที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจเอทานอลคาดได้แรงหนุนจากปริมาณขายที่เติบโต YoY และ QoQ
บล.เอเซียพลัส ธปท.ปรับประมาณการเงินเฟ้อปี 2565 ขึ้นจาก 4.9% เป็น 6.2% โดยน่าจะเห็น จุดสูงสุดใน 3Q65 ซึ่งสอดคล้องกับที่ฝ่ายวิจัยประเมินว่าจะเห็นจุดสูงสุดในเดือน ส.ค.ที่บริเวณ 10% พร้อมกันนี้ได้คาดการณ์ว่า GDP Growth ปี 2565 จะอยู่ที่ 3.3%
ด้วยมุมมองดังกล่าวทำให้ ธปท. อยู่ในสภาวะที่พร้อมสำหรับการปรับขึ้น ดอกเบี้ยนโยบาย ในการประชุมรอบ 10 ส.ค.65 ทั้งนี้หากในการประชุม กนง. อีก 3 รอบทึ่เหลือของปีนี้ มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยทุกรอบในอัตรา 0.25% ต่อครั้ง ดอกเบี้ย นโยบายจะไปอยู่ที่ 1.25%
ซึ่งฝ่ายวิจัยเห็นว่าระดับของ SET Index ที่จะรองรับ แรงกดดันดังกล่าวได้ น่าจะอยู่ที่บริเวณ 1570 จุด ภายใต้สมมุติฐานว่า EPS ปี 2565 อยู่ที่ 88.9 บาท/หุ้น และกำหนด Market Earning Yield Gap ที่ 4.4% ดังนั้นหาก SET Index ลงมาต่ำกว่าบริเวรดังกล่าวจะเป็นจุดที่ทยอยซื้อหุ้นสะสม คาด SET Index เคลื่อนไหวในกรอบ 1,570 – 1,590 จุด พอร์ตจำลองวันนี้ไม่มีการ ปรับเปลี่ยน โดยให้ถือเงินสดสำรอง 20% รอจังหวะซื้อหุ้นที่ระดับ SET Index ไม่ เกิน 1,570 จุด หุ้น Top Pick เลือก BEM, CRC และ TPIPL
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า วันนี้คาด SET แกว่ง Sideways ในกรอบแนวรับ 1,560 จุด และแนวต้าน 1,580 จุด เน้นหุ้นที่แนวโน้มกำไรเติบโตดี
โดยหุ้นเด่นวันนี้แนะนำ SPA คาดตลาดกำลังเริ่มเข้าสู่โหมดของการ upgrade หลังตัวเลขนักท่องเที่ยวทำได้ดีกว่าคาดของทางการ และเอกชน โดยประเมิน SPAจะผ่านจุดคุ้มทุนใน3065 กำไร turnaround ในปี 66 เป็น 277 ลบ. แล้วทำ newhigh ปี 67 ที่ 360 ลบ. ดังนั้นช่วง ก.ค.-ส.ค. จึงเป็นช่วงเวลาดีในการทยอยสะสมหุ้นเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 9.6 บาท
หุ้นเด่นตัวต่อมาคือ KBANK คาดกำไรปีนี้ +8% สู่ระดับ 4.1หมื่นล้านบาท แรงหนุนจากพอร์ตสินเชื่อยังขยายตัว และกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศปรับตัวดีขึ้น อีกทั้งคาดจะได้อานิสงส์บวกจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังขณะที่ Valuation ไม่แพง โดยเทรดเพียง PE 8.6x, PBV 0.7x เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 185 บาท
บล.ไทยพาณิชย์ คาด SET อยู่ในช่วงรีบาวด์ ด้วยสัญญาณทางเทคนิค และแรงหนุนในช่วงสั้น ช่วงนี้จากการทำ Window dressing ด้านแนวต้านอยู่ที่ 1,585 และ 1,595 จุด ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมตลาดยังคงมีความเสี่ยงอยู่ ทำให้มองกรอบบนถูกจำกัดที่แนวต้านดังกล่าว ด้านแนวรับระยะสั้นอยู่ที่ 1,574 และ 1,568 จุด หากต่ำกว่า จะเริ่มเป็นสัญญาณลบ
หุ้นเด่นวันนี้แนะนำ PTT (ราคาเป้าหมาย 54.00 บ.) มองราคาหุ้นปรับตัวลงมาแรงสะท้อนความกังวลด้านความเสี่ยงเชิงนโยบายของภาครัฐที่มีต่อกลุ่มพลังงานไปพอสมควรแล้ว ขณะที่ 2Q65 คาดผลประกอบการจะปรับตัวดีขึ้น QoQ จากผลกระทบที่ลดน้อยลงจากขาดทุนสัญญาประกันความเสี่ยง รวมทั้งมีกำไรที่ดีขึ้นจากธุรกิจ E&P และธุรกิจ P&R เนื่องจากราคาน้ำมันและค่าการกลั่นแข็งแกร่ง
หุ้นเด่นอีกตัวคือ หุ้นเด่นตัวต่อมาคือ ZEN (ราคาเป้าหมาย 14.00 บ.) 2Q65 คาดผลประกอบการดีขึ้น QoQ หลังธุรกิจอาหารดีขึ้น สืบเนื่องมาจากการปรับราคาเมนูเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยต้นทุนอาหารที่สูงขึ้น และ 2H65 ผลประกอบการจะปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทั้ง YoY และ HoH จากการขยายสาขาที่เป็นของบริษัทเองและสาขาแฟรนไชส์ และธุรกิจอาหารค้าปลีกที่เติบโตเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลทำให้ผลประกอบการฟื้นตัวในปี 2565
ขณะที่ บล.กสิกรไทย มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,570-1,590 จุด โดยหุ้นเด่นวันนี้แนะนำ 3 ตัวคือ CPALL ราคาปัจจุบัน 60.75 บาท ราคาเป้าหมาย 66.50 บาท ตัวต่อมา KCE ราคาปัจจุบัน 62.75 บาท ราคาเป้าหมาย 68.50 บาท และ FSMART ราคาปัจจุบัน 20.50 บาท ราคาเป้าหมาย 22.50 บาท
ศึกษาการลงทุนเพิ่มเติมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คลิกที่นี่
ที่มา : บล.หยวนต้า, บล.เอเซียพลัส, บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย), บล.ไทยพาณิชย์ ,บล.กสิกรไทย
ภาพประกอบข่าว : AFP, TNN Online,