จากการประชุม FOMC ครั้งที่ 1 ในวันที่ 26 ม.ค. 2565 ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับลด Quantitative Easing(QE) พร้อมคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% และส่งสัญญาณที่สำคัญอย่าง
1.GDP สหรัฐฯมีความแข็งแกร่ง
2.อัตราการว่างงานสหรัฐฯต่ำที่สุดตั้งแต่เกิดโควิด-19
3.อัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 2% ในระยะยาว
จากการส่งสัญญาณดังกล่าว ประเด็นที่ 1 และ 2 ไม่มีปัญหาอะไรเป็นสิ่งแสดงถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯที่แข็งแกร่ง แต่ประเด็นที่ 3 เรื่องอัตราเงินเฟ้อที่ต้องอยู่ในระดับ 2% ในระยะยาว เป็นสิ่งที่ชี้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ(FED)กำลังจะทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อเงินเฟ้อ อย่างการจบ QE และขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยผ่านทางการเพิ่มต้นทุนทางการเงิน ส่งผลกระทบต่อการลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ รวมถึงการลดเงินเฟ้อได้อีกด้วย
อย่างที่เรากล่าวมาตลอดว่า แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นจะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร แต่เรายังไม่ได้กล่าวถึงหุ้นที่ได้รับปัจจัยลบจากการขึ้นดอกเบี้ย
โดยหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบในมุมมองของเรา คือ กลุ่มที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในระดับล่างที่มีรายได้ไม่มากนัก (ได้แก่LPN, PSH) ที่อาจถูกปฏิเสธคำขอสินเชื่อได้ง่ายกว่าผู้ซื้อบ้านในระดับกลาง-สูง ประกอบกับหนี้ครัวเรือนไทยQ3/64 แตะ 14,347,206 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 89.3% ต่อ GDP ทำให้การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในระดับล่างยากขึ้น ทำให้หุ้นทั้ง 2 จะได้รับผลลบจากรายได้ที่มีแนวโน้มลดลง
หากประกอบกับปัจจัยทางเทคนิคเราจึงแนะ Short LPN ที่มีแนวโน้ม Sideway กรอบ 4.64-5.20 บาท จุด Short 5 -5.10 บาท และเป้าทำกำไรที่ 4.64-4.80 บาท จุด Stop Loss 5.20 บาท
ที่มา : บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน คลาสสิก ออสสิริส จำกัด