14 แนวคิดเปลี่ยนสันดานการลงทุน - กวี ชูกิจเกษม
คุณกวีได้แชร์แนวคิดดีๆไว้ในช่อง Antonio Attorne
คุณโต Kittisak Billionaire VI เลยนำมาสรุปให้เพื่อนๆดังนี้
1.ในสังคมทุนนิยมที่โฟกัสตัวเลขจีดีพี ที่ขับเคลื่อนโดยการลงทุนรัฐบาล การลงทุนเอกชนและการบริโภคของประชาชน (G+I+C) เพื่อให้ตัวเลขจีดีพีเพิ่มขึ้น จึงต้องผลักดันให้ประชาชนมีการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นและทำให้เงินที่มีอยู่ในกระเป๋าไม่พอเพียง จึงต้องกู้เงินเพิ่มขึ้น ปัจจุบันมีธุรกิจจำนวนมากที่เข้ามานำเสนอปล่อยกู้มากกว่าการลงทุนเสียอีก
ทุกวันนี้เราบริโภคกันเพิ่มเยอะมาก สมัยก่อนพ่อแม่ซื้อของเล่นให้เราชิ้นเดียวก็เล่นไปได้ตั้งนานแต่ปัจจุบันเราซื้อ iPad รุ่นที่หนึ่งเพียงแค่หนึ่งปี ก็มีรุ่นที่สอง รุ่นที่สามออกมาแล้ว ต้องซื้อไปเรื่อยๆ บางครั้งเรามองว่าเราใช้จ่ายนิดเดียวคงไม่เป็นไรหรอก แต่ไม่ได้มองในมุมตรงกันข้ามว่าถ้าเราประหยัดเพียงนิดเดียวมันจะมีพลังมหาศาลในการออม แล้วมาลงทุนต่อได้ —> ประหยัดเงินไว้ก่อน
2.การเปลี่ยนสันดานในการอดออมและลงทุนทำได้ยากมาก อย่างไรก็ตามถ้าเราไม่เริ่มเลยมันคงไม่มีวันเกิดขึ้นได้ คุณกวีเปรียบเทียบกับฝึกเดินขึ้นบันได 19 ชั้น ช่วงแรกๆจะเหนื่อยล้ามาก แต่ถ้าทำไปเรื่อยๆ จะสร้างพลังได้อย่างมหาศาล เดินขึ้นได้ 19 ชั้นได้สบาย
เปรียบเทียบกับการออมและการลงทุนในช่วงแรกๆอาจจะต้องฝืนตัวเองที่จะต้องเก็บเงินออม แต่ถ้าเก็บไปได้ระยะหนึ่งแล้ว จะมีพลังอย่างมหาศาลด้วยเงินต้นเพิ่มขึ้นและดอกเบี้ยทบต้นสร้างผลกำไรให้เราได้มาก —> เริ่มออมและลงทุนวันนี้
3.คุณกวีเคยเป็นนักวิเคราะห์มากว่า 20 ปีต้องวิเคราะห์ธุรกิจเชิงลึกทั้งในแง่ของคุณภาพและงบการเงิน สมัยก่อนลำบากมากเพราะไม่มีข้อมูลมากขนาดนี้ ต้องไปที่แบงค์ชาติและกระทรวงพาณิชย์เพื่อเอาข้อมูลมาวิเคราะห์
ในฐานะที่เป็นนักลงทุนไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์ให้เข้าใจงบการเงินละเอียดทุกตัวเหมือนนักวิเคราะห์ คุณกวีพยายามทำให้การลงทุนง่ายที่สุด เน้นมองภาพใหญ่ว่าบริษัทจะยั่งยืนไหมมากกว่า —> อย่าเล่นท่ายากในการลงทุน
4.การซื้อหุ้นมาเพื่อขายเรียกว่าการเก็งกำไร ไม่ว่าจะขายในไม่กี่เดือนหรือภายใน 2-3 ปี ในทางกลับกันการลงทุนแบบวีไอเน้นความเป็นเจ้าของ จะถือหุ้นต่อเนื่องไปตราบใดที่พื้นฐานธุรกิจไม่เปลี่ยนแปลง จะขายหุ้นก็ต่อเมื่อพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไปอย่าวถาวรเท่านั้น —> พื้นฐานคือมุมมองของเจ้าของกิจการ ราคาคือมุมมองของนักเก็งกำไร
5.การศึกษาหุ้นเพื่อลงทุนแบบนักเก็งกำไรและแบบเป็นเจ้าของจะแตกต่างกัน เพราะว่าเราคงไม่ศึกษาหุ้นตัวนั้นมากเท่าไหร่ถ้าเราคิดจะขายมันภายในไม่กี่วันเพื่อเก็งกำไร แต่เราจะศึกษามันแบบเจ้าของอย่างลึกซึ้ง ต้องการรู้ว่าบริษัทที่จะลงทุนจะอยู่รอดในอีก 30 ปีหรือไม่ จะมีกำไรเติบโตและมีเงินปันผลต่อเนื่องไหม —> ลงทุนแบบเจ้าของต้องศึกษาเชิงลึก
6.ในช่วงที่หุ้นลงหนักๆพวกเราเคยคิดถึงไหมว่าทำไมเจ้าของหุ้นดังอย่างเซ็นทรัลหรือโรงพยาบาลกรุงเทพถึงไม่ค่อยได้ขายหุ้นออกมาเท่าไหร่ คำตอบก็คือเพราะว่าพวกเขามีความเป็นเจ้าของกิจการ คิดว่าเป็นแค่ปัจจัยลบในระยะสั้น ธุรกิจก็น่าจะกลับมาจากวิกฤติได้ —> หุ้นลงหนักไม่ได้หมายความว่าคนจะไม่เข้าร้าน กิจการแย่
7.นักลงทุนเข้าใจผิดกันว่าการที่อุตสาหกรรมโดนทำลายล้าง (Disruptive) หมายถึงอุตสาหกรรมนั้นจะไม่หลงเหลืออยู่เลย แต่จริงๆแล้วอุตสาหกรรมก็ยังคงอยู่แต่แค่เปลี่ยนวิธีในการทำธุรกิจไปตามยุคสมัย
อย่างเช่นอุตสาหกรรมพลังงาน คุณกวีเคยลงทุนในหุ้นบ้านปูแต่ขายขาดทุนกำไรไปที่ตอนหุ้นราคา 400 บาท (ก่อนแตกพาร์) เพราะคิดว่าธุรกิจพลังงานก็ยังอยู่แต่เพียงแค่ปรับเปลี่ยนเป็นพลังงานทางเลือกมากขึ้น
โดยสรุปคืออุตสาหกรรมไม่ได้หายไปแต่ปรับเปลี่ยนพัฒนาไปแนวทางที่ดีขึ้น เราควรเลือกลงทุนผู้ชนะในอุตสาหกรรมเท่านั้น —> มองอุตสาหกรรมกับการเปลี่ยนแปลงให้ออก
8.เปลี่ยนสันดานในการออมเงิน คุณกวีแนะนำว่าตามหลักการจากอเมริกาบอกว่า เราควรจะมีเงินออมประมาณ 20% ของเงินเดือนแต่คุณกวีเชื่อว่าค่าครองชีพในประเทศไทยไม่ได้สูงขนาดนั้น เราจึงน่าจะออมเงินได้มากกว่านั้น
ใครบอกว่าขนาดเงินเดือนยังไม่พอเลย จะให้เอาเงินที่ไหนมาออม คุณกวีบอกว่าให้กลับไปสำรวจตัวเองว่าทุกวันนี้เรามีหนี้เพราะอะไร เราทุ่มเทในการทำงานมากแล้วหรือยัง ให้เราไปดูหนทางในการปลดหนี้ ลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้ก่อน เพราะถ้ารู้สาเหตุและปรับปรุง เราจะมีเงินออมเอง
—> ออมได้ไม่ได้ ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง อย่าโทษเงินน้อย
9.แนะนำให้เลือกลงทุนในอุตสาหกรรมที่เราเชี่ยวชาญหรืออาจจะเป็นอุตสาหกรรมที่เราทำงานอยู่เพราะจะทำให้เข้าใจธุรกิจได้ง่าย รู้ว่าอุตสาหกรรมจะเปลี่ยนไปแค่ไหนและมองหาผู้ชนะได้ออก เช่นถ้าเราอยู่ในวงการทีวีเราอาจจะเคยถือหุ้นช่อง 3 แต่ด้วยความเข้าใจในเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เราไปซื้อหุ้น Facebook แทนได้ —> ลงทุนในขอบเขตความรู้ของตัวเองดีที่สุด
10.สิ่งที่จำเป็นมากๆคืออย่าซื้อหุ้นแพง นั่นคือสาเหตุที่เจ้าของ CPN สามารถถือหุ้นได้นานเพราะว่ามีต้นทุนต่ำแค่บาทเดียวจากราคาปัจจุบัน 48 บาท หลายคนอาจจะบ่นว่าการหามูลค่าหุ้นทำได้ยากมาก แต่ในชีวิตประจำวันแล้วบางคนกลับรู้ว่ากระเป๋าแบรนด์เนมใบไหนมีราคาถูกหรือแพง เพราะมีความมุ่งมั่น ชอบกระเป๋า เพราะฉะนั้นถ้าคุณมุ่งมั่นในการศึกษาหุ้น มั่นใจว่าคุณจะรู้ว่าหุ้นตัวนั้นถูกหรือแพงอย่างแน่นอน —> ศึกษาธุรกิจเยอะๆ แล้วคุณจะรู้มูลค่าของมัน
11.คุณกวีซื้อหุ้นหลักๆแค่สามครั้งในชีวิต ในช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ และวิกฤติโควิดโดยเฉพาะในช่วงปี 2008 ได้กำไรเป็นน้ำเป็นเนื้อมากที่สุด ส่วนช่วงอื่นลงทุนแบบ DCA —> การลงทุนให้ประสบความสำเร็จ เราต้องไม่ตัดสินใจบ่อยเกินไป
12.นักลงทุนต้องลงทุนด้วยความรู้ ในช่วงหุ้นปรับตัวลดลงจากเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัวลง อย่างนี้เราไม่ต้องซีเรียสกับมัน แค่ติดตามดูว่าหลังจากเศรษฐกิจกลับมาแล้วหุ้นของเราจะกลับมาได้ไหม
ถ้าเศรษฐกิจโดยรวมยังดีอยู่แต่หุ้นที่เราถือตกลงอยู่ตัวเดียว อย่างนี้เราต้องมาศึกษาอย่างเคร่งครัดว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะส่วนมากแล้วมันจะเกิดจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้หุ้นปรับตัวลดลงเนื่องจากรายได้ลดลงในอนาคต
ยกตัวอย่างเช่นหุ้น Centel ที่เคยขึ้นไปเกือบ 60 บาทแต่พอเจอวิกฤตโควิดหุ้นตกลงไปเหลือ 13 บาท ถ้าเราเชื่อว่ามันเป็นผลกระทบชั่วคราวยังไงก็ต้องกลับมาแล้วถือไว้ไม่ได้ขายไปก่อน วันนี้ราคาอยู่ที่ 33 บาทแล้ว —> เข้าใจธุรกิจ ทำให้เรารอดวิกฤตได้
13.ถ้านักลงทุนคิดอะไรไม่ออก ไม่มีไอเดียในการเลือกหุ้น คุณกวีแนะนำให้ซื้อกองทุนที่เป็นหุ้นโลกไปเลย เพราะมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นตามสภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆในอนาคต —> กระจายความเสี่ยงด้วยหุ้นทุกตลาดในโลกที่มีแนวโน้มขึ้นไปเรื่อยๆ
14.ถูกถามเกี่ยวกับคนรุ่นใหม่ที่หาเงินจากตลาดหุ้นด้วยการเก็งกำไร แล้วก็มาโพสว่าหาเงินได้เท่าโน้นเท่านี้ในระยะเวลาสั้นๆ เข้าใจว่าหาเงินจากตลาดหุ้นง่ายมาก นั่งอยู่ชายหาดก็หาเงินได้จากมือถือเครื่องเดียว บางคนถึงกับลาออกจากงานประจำมาเทรดเลยทีเดียว
คุณกวีกลับถามว่าการเทรดทุกวันไม่เหนื่อยเหรอ? คุณมั่นใจได้อย่างไรว่าตอนตลาดหุ้นผันผวนจะได้กำไร การเก็งกำไรไม่ใช่การหารายได้แบบยั่งยืน ไม่เหมือนการทำงานประจำหรือเป็นเจ้าของธุรกิจดีๆ แต่ถ้าคุณยังรักที่จะเทรด คุณกวีแนะนำว่าควรเก็บเงินไว้อีกก้อนเพื่อเป็น Passive Income ในยามฉุกเฉิน —> เทรดทุกวัน ทั้งเหนื่อยและเสี่ยง กำไรไม่ยั่งยืน