ห้องเม่าปีกเหล็ก

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สะดุด หลังวิ่งมายาวนาน รอผลประชุมเฟด

โดย Durant
เผยแพร่ :
101 views

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สะดุด หลังวิ่งมายาวนาน รอผลประชุมเฟด

 

 

ตลาดหุ้น S&P500 ที่บวกติดต่อกันยาวนานที่สุดในรอบประมาณ 20 ปี (ตั้งแต่ปี 2004) ในที่สุดก็ต้องหยุดสถิติลงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยปิดลบไป 0.6% ค่ะ เช่นเดียวกับดัชนีอื่นๆ อย่าง Nasdaq100 (-0.7%) และ Dow Jones (-0.2%)

ถึงแม้จะมีข้อมูลเศรษฐกิจภาคบริการ (ISM Services PMI เดือนเมษายน ออกมาดีที่ 51.6) แต่ก็ไม่สามารถต้านทานความกังวลเรื่องสงครามการค้าได้ค่ะ นักวิเคราะห์บางคนมองว่า แม้สถิติในอดีตจะชี้ว่าการที่หุ้นขึ้นมายาวนานแบบนี้ มักจะตามมาด้วยการปรับขึ้นต่อ

 

(คุณ Jeff Weniger จาก WisdomTree บอกว่า จากข้อมูลย้อนหลังไปถึงยุค 80 พบว่า 1 ปีหลังจากเกิดการวิ่งขึ้นยาวๆ แบบนี้ ดัชนีมักจะบวกต่อเฉลี่ยถึง 20%!)

แต่ ณ ปัจจุบัน ความไม่แน่นอนมันสูงจริงๆ ค่ะ หลายคนเลยมองว่า การจะเห็น S&P500 ทำจุดสูงสุดใหม่ได้ในเร็วๆ นี้ จำเป็นต้องมีข่าวดีเรื่อง การบรรลุข้อตกลงการค้ากับจีน เสียก่อน (อันนี้เป็นมุมมองจาก Morgan Stanley นะคะ)

 

ทำไมตลาดผันผวน? ต้นตอคือ "สงครามการค้า"

อย่างที่ทราบกันดีค่ะว่าปัจจัยหลักที่เขย่าตลาดตอนนี้คือ สงครามการค้า ที่นำโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ คำพูดและนโยบายภาษีที่คาดเดาได้ยากของเขาส่งผลกระทบเป็นวงกว้างเลยค่ะ

 

เขย่าความเชื่อมั่น: การใช้ภาษีตอบโต้ไปมากับคู่ค้าสำคัญๆ ทำให้เกิดความไม่แน่นอนสูงมาก บริษัทต่างๆ กังวลเรื่องต้นทุนและห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chains) ที่อาจหยุดชะงัก ส่วนผู้บริโภคก็เริ่มไม่มั่นใจ ซึ่งอาจกระทบการจับจ่ายใช้สอยได้

 

ดอลลาร์ไม่ใช่หลุมหลบภัย? ปกติเวลาตลาดปั่นป่วน นักลงทุนจะหันไปหาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะมองว่าปลอดภัย แต่สงครามการค้าครั้งนี้ดูเหมือนจะสั่นคลอนสถานะ "สินทรัพย์ปลอดภัย" (Safe Haven) ของดอลลาร์ไปพอสมควรเลยค่ะ มีช่วงนึงที่นักลงทุนเทขายทั้งหุ้นและพันธบัตรสหรัฐฯ พร้อมๆ กัน ซึ่งผิดปกติมาก (ปกติเวลาหุ้นตก คนจะซื้อพันธบัตร) จนเกิดกระแสที่เรียกว่า "Sell America" หรือเทขายสินทรัพย์อเมริกันกันเลยทีเดียว

แม้ว่าล่าสุดจะมี รมต. คลัง อย่าง Scott Bessent ออกมาโต้แย้งว่า นโยบายของทรัมป์ ทั้งภาษี การลดหย่อนภาษี และการลดกฎระเบียบต่างๆ ถูกออกแบบมาเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้สหรัฐฯ ในระยะยาวก็ตาม

 

กระทบกำไรบริษัท: ผลกระทบเริ่มเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ ล่าสุด Ford Motor ต้องยกเลิกคาดการณ์กำไรทั้งปี เพราะประเมินว่า ภาษีรถยนต์อย่างเดียวก็จะทำให้บริษัทเสียหายราว 1.5 พันล้านดอลลาร์!

ส่วนบริษัทซอฟต์แวร์ดาวรุ่งอย่าง Palantir แม้จะรายงานยอดขายดีและเพิ่มคาดการณ์รายได้ทั้งปี แถมบอกว่าความต้องการ AI ตอนนี้เหมือน "พายุหมุนที่หิวกระหาย" (ravenous whirlwind) แต่หุ้นกลับร่วงกว่า 8% เพราะนักลงทุนคาดหวังไว้สูงกว่านั้นมากค่ะ

 

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังขู่จะเก็บภาษี 100% กับหนังที่ผลิตนอกสหรัฐฯ ทำเอาหุ้น Netflix และ Warner Bros. Discovery ปรับตัวลงไปตามๆ กัน

 

ค่าเงินเอเชีย: เวทีใหม่ของความผันผวน

เมื่อดอลลาร์อ่อนแรงและไม่แน่นอน สกุลเงินเอเชียเลยกลายเป็นจุดสนใจค่ะ

 

ไต้หวัน: ดอลลาร์ไต้หวันพุ่งขึ้นแรงมาก มีการเก็งกำไรกันว่าทางการอาจยอมปล่อยให้แข็งค่าขึ้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ

 

ฮ่องกง: สถานการณ์น่าจับตามาก ทางการต้องทุ่มเงิน "มหาศาลเป็นประวัติการณ์" เพื่อพยุงค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกงให้อยู่ในกรอบที่ผูกไว้กับดอลลาร์สหรัฐฯ (Currency Peg)

 

ญี่ปุ่น: เงินเยนแข็งค่าขึ้นชัดเจนเมื่อวันจันทร์ (+0.8% ถึง 0.9% แล้วแต่ช่วงเวลา) สะท้อนบทบาทการเป็นสกุลเงินปลอดภัยอีกตัวหนึ่ง

 

มาเลเซีย: ริงกิตแข็งค่าต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน

แต่ย้ำอีกครั้งนะคะ! ผู้เชี่ยวชาญอย่างคุณ Leah Traub จาก Lord Abbett & Co. เตือนว่า ธนาคารกลางในเอเชีย โดยเฉพาะไต้หวัน มาเลเซีย และฮ่องกง ยังมีพลังและเครื่องมือพอที่จะเข้าแทรกแซง ไม่ให้ค่าเงินตัวเองแข็งค่าเร็วเกินไปได้เสมอค่ะ

 

จับตา "เฟด" วันพุธ: ตลาดเปลี่ยนใจเรื่องลดดอกเบี้ย?

ไฮไลท์สำคัญของสัปดาห์นี้คือ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันพุธค่ะ สิ่งที่น่าสนใจคือ "การเปลี่ยนใจ" ของตลาด

ก่อนหน้านี้ ตลาดคาดการณ์ ว่าเฟดจะต้องรีบลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจจากผลกระทบของสงครามการค้า นักลงทุนแห่เข้าซื้อพันธบัตรระยะสั้น (Short-term Treasuries) เพราะคิดว่าดอกเบี้ยกำลังจะลง

แต่ตอนนี้...สถานการณ์เปลี่ยนค่ะ! ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาล่าสุด ทั้งการใช้จ่ายผู้บริโภค การจ้างงาน และภาคบริการ ยังดูแข็งแกร่งอยู่ ทำให้นักลงทุนเริ่มคิดว่า "เอ๊ะ เศรษฐกิจอาจจะยังไม่แย่นี่นา" ความกลัวเรื่องเศรษฐกิจถดถอย (Recession) เลยลดลงไปบ้าง ทำให้เทรดเดอร์ ลดการคาดการณ์ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยลงค่ะ เห็นได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปี ที่ปรับตัวสูงขึ้น 3 วันติดต่อกัน (นานสุดตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว)

นักวิเคราะห์อย่างคุณ Greg McBride จาก Bankrate คาดว่า ตราบใดที่ข้อมูลเศรษฐกิจยังดีอยู่ เฟดน่าจะเลือก "คงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม" และ "รอดูสถานการณ์ไปก่อน" (wait-and-see mode) เพื่อประเมินผลกระทบของสงครามการค้าให้ชัดเจนกว่านี้ค่ะ เพราะอย่างที่บอก ความไม่แน่นอนมันสูงจริงๆ

 

ความไม่แน่นอน: ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตา

แม้ข้อมูลเศรษฐกิจจะดูดี แต่ย้ำว่านี่คือข้อมูล "ก่อน" ที่ผลกระทบเต็มๆ ของภาษีจะปรากฏนะคะ นักวิเคราะห์หลายสำนักยังคงกังวลว่า

 

ผลกระทบระยะยาว: ภาษีจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในที่สุด ผ่านต้นทุนที่สูงขึ้น, ห่วงโซ่อุปทานที่ปั่นป่วน, และความเชื่อมั่นที่ลดลง

 

เงินเฟ้อชั่วคราว: การขึ้นภาษีอาจทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้น ดันเงินเฟ้อให้พุ่งสูงขึ้นได้ในช่วงสั้นๆ

 

นโยบายที่คาดเดายาก: ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า (Policy uncertainty) ยิ่งนานไป ยิ่งกระทบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (มุมมองจาก Invesco)

 

เวลาเหลือน้อย?: บางคนมองว่า รัฐบาลทรัมป์มีเวลาค่อนข้างจำกัดในการเจรจาดีลการค้าให้สำเร็จ ก่อนที่ความเสียหายทางเศรษฐกิจจะฝังรากลึกและแก้ไขได้ยากขึ้น (มุมมองจาก Aspiriant)

คุณ Racquel Oden จาก HSBC สรุปภาพรวมได้ดีค่ะว่า "ลูกค้าทั่วโลกสัมผัสได้ถึงความไม่แน่นอนและความผันผวน พวกเขาพยายามมองหาว่า ท่ามกลางตลาดที่แกว่งไปมาแบบนี้ มันมีโอกาสซ่อนอยู่ตรงไหนบ้าง?"

 

ภาพรวมตลาดอื่นๆ:

 

สินค้าโภคภัณฑ์: ราคาน้ำมันดิบ WTI ทรงตัว หลังจากร่วงลงก่อนหน้าเพราะกลุ่ม OPEC+ ตกลงจะเพิ่มกำลังการผลิต / ราคาทองคำ พุ่งแรงเมื่อวันจันทร์ (+2.8% ถึง 2.9%) แตะระดับ $3,330.51 ต่อออนซ์ จากแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย แต่เช้าวันอังคารเริ่มทรงตัว

 

ค่าเงิน (อัปเดตเช้าอังคาร เวลาโตเกียว): ดัชนีดอลลาร์ทรงตัว / ยูโร ~1.1315 / เยน ~143.60/ / หยวนนอกประเทศ ~7.2024/$

 

คริปโต (อัปเดตเช้าอังคาร เวลาโตเกียว): Bitcoin +0.9% ~$95,126 / Ether +1.2% ~$1,830

 

ข่าวบริษัทอื่นๆ ที่น่าสนใจ: Berkshire Hathaway แต่งตั้ง Greg Abel เป็น CEO แทน Warren Buffett / Rite Aid ยื่นล้มละลายอีกครั้ง / Tyson Foods กำไรดี แต่ธุรกิจเนื้อขาดทุนหนัก / มีข่าวลือ Shell สนใจซื้อ BP / Sunoco ซื้อกิจการ Parkland Corp. / 3G Capital ซื้อ Skechers

 

สรุป

สถานการณ์ตลาดยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนสูงนะคะ โดยมีเรื่องสงครามการค้าเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ต้องจับตาดูท่าทีของทรัมป์ และผลการประชุมเฟดในวันพุธนี้อย่างใกล้ชิดค่ะ

 

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก  Facebook Beauty Investor

 


Durant