ห้องเม่าปีกเหล็ก

5 หุ้นโรงไฟฟ้ายักษใหญ่ ใครยืนหนึ่งในปฐพี

โดย OttO
เผยแพร่ :
60 views

5 หุ้นโรงไฟฟ้ายักษใหญ่ ใครยืนหนึ่งในปฐพี

เป็นข่าวใหญ่กันทั่วโลกว่าสหรัฐได้ผู้นำคนใหม่ คือนายโจ ไบเดน เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ต่อจากโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นโหดเหมือนโกรธ "ทรัมป์" โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นไปกว่า 44จุด ซึ่งกลุ่มหุ้นที่เป็นตัวใหญ่สร้างแรงผลักดันให้หุ้นไทยวิ่งฉิ่วคงจะหนีไม่พ้นหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มโรงไฟฟ้า ที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ใส่เกียร์เดินหน้าตอบรับนโยบายของคุณโจ แบบชนิดที่เรียกได้ว่ายังไม่ทันได้เริ่มลงมือทำก็รับข่าวกันไปก่อนแล้ว โดยนโยบายหลักๆที่ถือเป็นตัวชูโรงของคุณโจ อีกนโยบายหนึ่งที่นอกเหนือจากการเรียกเก็บภาษีนิติบุคคลแล้วนั้น คงจะหนีไม่พ้นนโยบายชูการลงทุนพลังงานสะอาด ดังนั้นนักลงทุนจึงมองออกว่าบริษัทโรงไฟฟ้าใหญ่ในไทยบริษัทไหนมีกำลังทรัพย์เพียงพอที่จะกระโจนเข้าไปลงทุนในดินแดนถิ่นอเมริกาได้บ้าง


หากนักลงทุนยังพอมองไม่เห็นภาพว่าบริษัทโรงไฟฟ้าในไทยอะไรกันน่ะ? ที่ใหญ่พอจะก้าวไปเหยียบลงทุนในแผ่นดินอเมริกาได้บ้าง วันนี้ทาง Wealthy Thai จะฉายภาพให้นักลงทุนได้ทราบกันเริ่มกันที่ บริษัทราชกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) หรือ RATCH, บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF,  บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC และ บริษัท บี.กริมเพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM พอเห็นรายชื่อแล้วนักลงทุนคงจะพอทราบกับแล้วใช่มั้ยว่า บริษัทยังใหญ่ด้านโรงไฟฟ้าของไทยนั้นพอที่จะมีความสามารถเข้าไปลงทุนในสหรัฐได้บ้างหรือไม่ โดยบริษัทยักษ์ทั้ง 5 แห่งรวมกันคิดเป็นมูลค่าบริษัทได้กว่า 908,494 ล้านบาท


ทั้งนี้  Wealthy Thai จะพามาดูว่าบริษัทไหนที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นมากที่สุด ซึ่งแบ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าที่จ่ายไฟเข้าระบบแล้ว และเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการตามแผนก่อสร้าง โดยจากการสำรวจพบว่า RATCH มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามการถือหุ้นมากที่สุดถึง  8,320 MW บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH เป็นหนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ของประเทศ ซึ่งมีโรงไฟฟ้าประเภท IPP และโรงไฟฟ้าถ่านหิน ไปจนถึงโรงไฟฟ้าประเภทนิวเคลียร์ รวมถึงยังกระจายการลงทุนด้านธุรกิจระบบโครงสรางพื้นฐานของประเทศ โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้า และรถไฟควบคู่กับบริษัทเอกชนในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานของไทย ไม่เพียงเท่านั้น RATCH ยังได้กระายการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าออกไปยังต่างประเทศ

บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด มองว่า RATCH มีการเติบโตของรายได้ที่น่าดึงดูดจากความเสี่ยงต่ำ โดยคาดการรเติบโตของกำไรสุทธิในครึ่งปีหลังจะเติบโตมากกว่าครึ่งปีแรกที่ 29% และคาดในปี 64 จะเติบโต 35% จากปีปี 63 เพราะอัตรากำลังการผลิตที่สูงขึ้นของโรงไฟฟ้าหงสาและโรงไฟฟ้าพลังงานลมเมาท์ เอเมอรัลด์ (Mount Emerald) รวมถึงการเริ่ม Collector โรงไฟฟ้าพลังงานลมอีกทั้งการที่บริษัทมีการเตรียมที่จะลงทุนในอนาคตในหลายๆ


ประเทศหลักๆ ในภูมิภาค โดยบริษัทมุ่งเน้นที่จะเสริมกำไรจากโครงการที่จ่ายไฟเข้าระบบแล้วมากกว่าการลงทุนในโครงการที่จะต้องลงทุนใหม่ หรือโครงการที่กำลังก่อสร้าง ซึ่งบริษัทตั้งเป้าที่จะใช้เงินลงทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท สำหรับการเพิ่มกำลังการผลิตโดยประมาณ 700 MW ต่อปี จึงยังคงแนะนำซื้อโดยมีราคาเป้าหมายที่ 73 บาท

ขณะที่บริษัทกัลฟ์เอ็นเนอร์จีดีเวลลอปเมนท์จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายที่ 2 ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้น จำนวน 8,098MW โดย GULF ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าประเภท IPP หรือผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ ที่มีขนาดกำลังการผลิต 5,000 MW โดยโครงการดังกล่าวจะเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบตั้งแต่ในปี 64 เป็นต้นไป ซึ่งคิดเป็นการจ่ายไฟเข้าระบบจากโครงการนี้แค่เพียงโครงการเดียวจำนวนปีละ 1,250MW ต่อจากนี้ไป ซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยที่บริษัทโรงไฟฟ้าจะมีความสามารถจ่ายไฟเข้าระบบได้มากขนาดนี้ ขณะเดียวกันล่าสุดได้ดำเนินการเข้าซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าพลังงานที่ประเทศเยอรมนี กำลังผลิต 465 MW และในอนาคตมีแผนที่จะเข้าประมูลทำโรงไฟฟ้าจาก LNG ที่เวียดนามอีก 6,000MW รวมถึงผู้บริหารเคยระบุไว้ว่ามองหาโอกาสการลงทุนโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมทั้งในสหรัฐ และกลุ่มประเทศทวีปยุโรป


บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า(ประเทศไทย) จำกัด ประเมินให้ GULF เป็นหุ้นเด่นด้านการเติบโตสำหรับการลงทุนระยะยาว ซึ่งจะเริ่มเห็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบปีต่อปีได้ตั้งแต่ไตรมาส3/63 เป็นต้นไป บนกำลังการผลิตที่มีอยู่ในปัจจุบัน ขณะที่ฐานทุนที่ใหญ่ขึ้น กระแสเงินสดจำนวนมากจากการเพิ่มทุน ทำให้คาดว่าจะเห็นโครงการใหม่ๆ ขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศต่อเนื่องในปี 64 ทั้งที่โรงไฟฟ้าที่จ่ายไฟแล้ว และโครงการใหม่ ซึ่งจะทำให้การเติบโตของ GULF มากกว่าที่ Consensus คาด และจะทำให้ PER ลดลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งหมดประเด็นเรื่องการเพิ่มทุนมากดดันอัพไซของราคาหุ้นอีก ดังนั้นคงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 40.75 บาท

ส่วนบริษัทผลิตไฟฟ้าจำกัด (มหาชน) หรือ EGCO ผู้ผลิตไฟฟ้าอีกหนึ่งรายที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่งอย่าง "การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ปัจจุบันมีกำลังผลิตไฟฟ้าตามการถือหุ้นรวม 5,748MW กำลังเดินหน้าลุยพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นการลงทุนในกลุ่มประเทศภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก โดยมีโครงการที่กำลังก่อสร้างและจ่ายไฟเข้าระบบตามแผนได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าเซลล์ เชื้อเพลิง "กังดง" ที่ประเทศเกาหลี กำลังการผลิตติดตั้ง 19.8 MW คาดจะดำเนินการจ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์(COD)ในไตรมาส 4/63 ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ "น้ำเทิน" ที่ สปป.ลาว ปริมาณซื้อขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำนวน 514 MW และปริมาณขายไฟฟ้าให้กับ รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าสปป.ลาว จำนวน 130 MW จะจ่ายไฟในไตรมาส 2/65 ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานลม "หยุนหลิน" ที่ไต้หวัน ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 640 MW จะทยอยจ่ายไฟเข้าระบบเฟสที่ 1 ในไตรมาส 4/63 แบ่งเป็นกำลังผลิต 320MW และเฟส 2 จ่ายไฟเข้าระบบในไตรมาส 3/64


ด้านบริษัทหลักทรัพย์โนมูระพัฒนสินจำกัด (มหาชน) มองเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อกำไรปกติในไตรมาส3/63 ที่ทำได้ 2,853 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อนมาจากส่วนแบ่งกำไรฯที่เติบโตเป็นหลัก จากโรง Paju การจ่ายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้อัตรากำไรเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และโรงไฟฟ้าไซยะบุรีเข้ามาหนุน ฝ่ายวิเคราะห์คาดกำไรปกติในไตรมาส4/63 จะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนโรงไฟฟ้าพาร์จูและโรงไฟฟ้าไซยะบุรี ทั้งนี้เราปรับประมาณการกำไรลงสะท้อนหลักๆจาก โรง BLCP, SBPL และ Paju ที่แย่กว่าคาด และปรับราคาเป้าหมายปี 64 ลดลงเป็น 277 บาทต่อหุ้นจากเดิมที่ 294 บาท  ยังคงแนะนำ "ซื้อ" โดยมองว่าราคาที่ลดลงตั้งแต่ต้นปีสะท้อนกำไรปี 63 ไปแล้ว

สำหรับบริษัทโกลบอลเพาเวอร์ซินเนอร์ยี่จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC เรือธงด้านการพัฒนาธุรกิจไฟฟ้าของกลุ่ม ปตท. มีกำลังผลิตไฟฟ้าตามการถือหุ้นอยู่ที่ 5,343MW หลังจากที่ GPSC ได้เข้าธุรกิจของ บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) จึงทำให้ GPSC มีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามทาง PTT ได้มีนโยบายโดยตรงว่า GPSC จะต้องมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าให้เป็น 8,000 MW สำหรับโอกาสที่ GPSC จะไปลงทุนในโรงไฟฟ้าที่สหรัฐนั้นเห็นได้จากการที่บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC มีแผนจะเข้าลงทุนโรงงานปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่สหรัฐฯด้วยเช่นกัน


บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า จะได้อานิสงส์จากนโยบายพลังงานสะอาดจากไบเดนชนะการเลือกตั้งจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียนซึ่งการที่ GPSC เข้าไปลงทุนใน 24M (R&D ของ battery storage ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ 32.7%) ก็จะได้อานิสงส์จากอุปสงค์ battery storage (หนึ่งในส่วนประกอบสำคัญของ grid sustainability) ที่เพิ่มขึ้น โดย 24M จะมีโอกาสใช้เทคโนโลยีของบริษัทผ่านทางพันธมิตร ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราะห์ปรับเพิ่มประมาณการกำไรจากธุรกิจหลักในปี 2563 ขึ้นอีก 30.2%  เนื่องจากกำไรจากธุรกิจหลักในใน 9 เดือนคิดเป็น 99.7% ของประมาณการกำไรปีนี้ ดังนั้น จึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรจากธุรกิจหลักในปี 63 ขึ้นอีก 30.2% โดยปรับเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นขึ้นอีก 8% ปรับเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นของ SPPs เนื่องจากราคาถ่านหินต่ำเกินคาด และคาดว่าจะได้อานิสงส์มากขึ้นจาก synergy กับ " โกลว์ "

สุดท้ายบริษัทบี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามการถือหุ้น 2,586 MW ทาง BGRIM เป็นหนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้าประเภท SPP รายใหญ่ของประเทศโดยโรงไฟฟ้าดังกล่าวเพื่อใช้ในการประกอบอุตสาหกรรม เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าประเภทโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทย นอกจากนี้ BGRIM ยังได้ขยายการลงทุนไปยังประเทศเวียดนาม โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน รวมถึงการเตรียมลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าจากก๊าซ LNG ที่เวียดนาม 3,000 MW


บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ระบุว่าผลประกอบการจะชะลอตัวในไตรมาส4/63 เพราะเป็นช่วงโลซีซั่น แต่ยังคงชอบการเติบโตในระยะยาวของ BGRIM โดยที่ต้นทุนก๊าซที่ลดลงเป็นปัจจัยสำคัญ และจะหนุนผลประกอบการปี64 โดย BGRIM คาดราคาก๊าซจะลดลง 7% จากไตรมาส3/63 จึงทำให้คาดว่าในปี 64 ราคาก๊าซจะลดลง 18% และคาดลูกค้าในกลุ่มยานยนต์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 49%จะกลับมาหลังยอดขายรถยนต์ในประเทศเพิ่มขึ้น โดยแนะนำให้ “ซื้อ” โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 50บาท

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


OttO