เศรษฐกิจไทย โตมาจากไหน ไปต่ออย่างไร (2)
ดร.นครินทร์ อมเรศ
ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
“การคิดและการทำให้มากขึ้นในกรอบความคิดเดิม อาจจะไม่เพียงพอ การจัดการกับปัญหาหลายเรื่อง
อาจต้องอาศัยกรอบความคิดใหม่และวิธีการท างานเชิงรุกมากขึ้น”
1
เป็นคำกล่าวของผู้ว่าการธนาคารแห่ง
ประเทศไทยที่ขอน ามาเริ่มต้นบทความเพื่อตอบค าถามที่ว่าเศรษฐกิจไทยจะไปต่ออย่างไร หลังจากที่บทความ
ตอนก่อนได้สรุปว่าเศรษฐกิจไทยโตมาด้วยการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจผ่านการจัดสรรแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งเอื้อให้เศรษฐกิจมีความยืดหยุ่นสามารถรองรับการปรับตัวของภาคธุรกิจมาโดยตลอด
เมื่อมองไปข้างหน้า กระแสการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นได้สร้างอุปสรรคต่อการปรับโครงสร้าง
เศรษฐกิจไทยในรูปแบบเดิม ๆ ทั้งจากอายุเฉลี่ยของแรงงานที่สูงขึ้นจึงรับมือกับการปรับตัวได้ยาก การเปลี่ยนแปลง
ทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดดที่ทำให้นายจ้างต้องการแรงงานที่มีทักษะใหม่ ๆ ซึ่งไม่มีสอนในสถาบันการศึกษา
ตลอดจนความไม่แน่นอนในภาคเศรษฐกิจและการเมืองโลกที่ทำให้เราไม่อาจแน่ใจได้ว่านักลงทุนต่างชาติบางส่วน
ที่ย้ายฐานการผลิตเข้ามาที่ไทยในวันนี้เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางการค้าโลก จะไม่ย้ายโรงงานไปยังประเทศอื่น
ในอนาคตหลังสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป
แนวทางจัดการปัญหาด้วยกรอบความคิดใหม่และวิธีการทำงานเชิงรุกจึงเป็นหัวข้อที่ขอเชิญชวนทุกท่าน
มาร่วมกันคิด และขอหยิบยกการเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในปัจจุบันมาแสดงเป็น
ตัวอย่าง กล่าวคือ ในอดีตนโยบายเศรษฐกิจมหภาคจะให้ความสำคัญต่อมุมมองแบบ นกแลดิน ซึ่งเมื่อมองลงจาก
ท้องฟ้าย่อมพบเห็นดาดฟ้าของอาคารเป็นสิ่งแรก ๆ เปรียบได้กับการติดตามตัวเลขเศรษฐกิจในภาพรวมที่สะท้อนภาพ
เศรษฐกิจที่มีตัวเลขการเติบโตสูง มีอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานต่ำอันอาจเกิดจากการเติบโตได้ดีของกลุ่มทุน
ธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ไม่แน่เสมอไปว่าผลบวกนั้นได้ส่งผ่านไปยังแรงงานและประสานอย่างเต็มที่ หลายภาคส่วน
จึงเคลือบแคลงใจในตัวเลขเศรษฐกิจว่าจะดีได้อย่างไรในเมื่อคนจำนวนไม่น้อยยังเผชิญกับปัญหาปากท้อง ซึ่งไม่ได้
หมายความว่าตัวเลขในภาพรวมไม่ถูก แต่อาจเป็นการสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีความแตกต่างทางเศรษฐกิจ
ระหว่างกลุ่มที่ปรับตัวได้และไม่ได้
การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในปัจจุบันจึงได้เพิ่มเติมมุมมองแบบ กระต่ายหมายเดือน ซึ่งติดตาม
ภาวะเศรษฐกิจในระดับจุลภาคทั้งรายได้ประาาานและผลประกอบการของภาคธุรกิจ โดยจำแนกย่อยออกเป็น
หลายแง่มุมทั้งในด้านที่ตั้งตามภูมิศาสตร์ สาขากิจกรรม และสภาพสังคม เป็นต้น หลังจากมองผ่านทั้งมุมของนกและ
กระต่ายแล้ว ผู้ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจจึงสามารถประเมินผลของมาตรการต่าง ๆ ได้อย่างถี่ถ้วน และสามารถ
ชั่งน้ำหนักการตัดสินใจได้อย่างครบถ้วน
เพื่อให้เห็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการดำเนินนโยบายภายใต้กรอบคิดของทั้งสองมุมมอง จะขอหยิบยก
แนวทางการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจการเกษตรและแรงงาน ซึ่งเป็นภาคส่วนที่สำคัญและมีผลกระทบใน
วงกว้างผ่านจำนวนคนที่เกี่ยวข้องมากที่สุดในโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ดังนี้
- การปรับเป้าหมายเศรษฐกิจด้านเกษตรจากการให้ความสำคัญที่ราคาสินค้าเกษตร ในมุมมองของนก
มาเป็นมองแบบกระต่ายด้วยการให้ความสำคัญกับรายได้ที่เหลือถึงมือเกษตรกร ทั้งนี้สินค้าเกษตรมีลักษณะเป็น
สินค้าโภคภัณฑ์จึงมีราคาที่ผันผวนทั้งในประเทศและตลาดโลก จึงถูกกำหนดโดยหลากหลายปัจจัยทั้งจากสภาพดินฟ้า
อากาศ ความต้องการของผู้ซื้อ และแนวทางดำเนินธุรกิจของคู่แข่ง จึงแทรกแซงและควบคุมได้ยาก ดังนั้น การที่
หลายหน่วยงานภาครัฐร่วมกันใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) วิเคราะห์เชิงลึกเพื่อคาดการณ์และติดตามพัฒนาการ
ผลผลิต ราคา ต้นทุน และหนี้สินของเกษตรกร2
โดยตั้งเป้าหมายในการยกระดับรายได้ให้แก่เกษตรกรโดยไม่ต้อง
พึ่งพาเพียงการสนับสนุนด้านราคาเพียงอย่างเดียว จึงมีส่วนช่วยยกระดับรายได้เกษตรกรให้สูงขึ้นได้ ในขณะที่
ภาครัฐเองก็สามารถลดภาระการคลังซึ่งเกิดจากการใา้เงินงบประมาณพยุงราคาสินค้าเกษตรดังเา่นในอดีต
- การประเมินตลาดแรงงานไทยเพิ่มเติมจากการติดตามเพียงอัตราการว่างงานซึ่งเป็นมุมมองแบบนก
ผ่านสายตาของกระต่ายที่ติดตามเครื่องชี้หลายด้านเช่น รายได้ ชั่วโมงการทกงาน ความต้องการแรงงาน และ
แนวโน้มการจ้างงานของนายจ้าง3
เป็นต้น จึงช่วยให้ภาครัฐเข้าใจตลาดแรงงานได้ลึกซึ้ง สามารถดำเนินนโยบายเพื่อ
รับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น อันได้แก่ การออกแบบโครงข่ายความคุ้มครองทางสังคมเพื่อดูแลแรงงานที่ยัง
ปรับตัวไม่ได้ไปพร้อมๆ กับการสร้างสภาพแวดล้อมและแรงจูงใจให้แรงงานพัฒนาทักษะที่ตรงความต้องการของตลาด
ปัจจัยหลักที่จะกำหนดความสำเร็จของการเดินหน้าปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยคงต้องขึ้นกับการที่พวก
เราทุกคนสามารถปรับตัวภายใต้กรอบความคิดใหม่ ๆ ผ่านการผสมผสานมุมมองแบบนกและกระต่าย ทั้งภาค
ประชาชนในฐานะทุนมนุษย์และกำลังซื้อหลัก ภาคธุรกิจที่เป็นผู้ผลิตที่สร้างรายได้ให้กับประเทศ รวมถึงภาครัฐที่ต้อง
จัดโครงสร้างการกำกับดูแลที่เหมาะสมไม่เป็นอุปสรรคของกระบวนการสร้างนวัตกรรมและการปรับตัวทางธุรกิจ
เพื่อให้เศรษฐกิจไทยมีผลิตภาพสูงขึ้นและมีภูมิคุ้มกันเพียงพอที่จะรับมือกับกระแสการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นได้
อย่างเท่าทันและเดินหน้าการพัฒนาได้อย่างยั่งยืน
--------------------------------------------------------------
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก...