‘ศุภวุฒิ’ จี้แบงก์ชาติดูแลค่าเงินบาท หลังแข็งค่ากว่า 17% กระทบเศรษฐกิจไทยหนัก
- ศุภวุฒิ" เรียกร้องแบงก์ชาติเข้ามาดูแลปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นถึง 17% ในรอบ 17 เดือน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจ
- ชี้ว่าปัญหา "เงินปริศนา" ไม่ใช่สาเหตุหลักของการแข็งค่าของเงินบาท
- ระบุ 3 ปัจจัยพื้นฐาน ต้นตอของปัญหา อัตราเงินเฟ้อต่ำ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง และรูปแบบการเข้าแทรกแซงค่าเงินของ ธปท. ที่ทำให้ตลาดคาดการณ์ได้
ดร. ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่ายังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากอัตราแลกเปลี่ยนเทียบกับดอลลาร์ นั้น บาทเคยอ่อนค่าสุดที่ 37 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ เมื่อเดือนเม.ย.ปีที่แล้ว แต่ปัจจุบันเหลือไม่ถึง 32 บาท ซึ่งหมายความว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 17% ในช่วง 17 เดือนที่ผ่านมา
ดร. ศุภวุฒิ กล่าวว่า การแข็งค่าดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงผลจากดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเท่านั้น แต่เมื่อพิจารณาจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริงเทียบกับเงินสกุลหลักที่ไทยค้าขายด้วย (Nominal Effective Exchange Rate: NEER) เงินบาทก็แข็งค่าขึ้นไปแล้วถึง 10% ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งส่วนต่าง 7% มาจากดอลลาร์ที่อ่อนค่า
โดยส่วนที่ไทยแข็งค่ากับสกุลเงินอื่น 10% นั้น คือ ปัญหาหลัก ที่ทุกฝ่ายกำลังบ่นและได้รับผลกระทบ และยืนยันว่าเป็นความรับผิดชอบของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ต้องเข้ามาดูแลเรื่องค่าเงิน
เงินปริศนาไม่ใช่ตัวการหลัก
สำหรับกระแสความกังวลเรื่อง "เงินปริศนา" หรือ Net Error and Omission (NEO) จากดุลการชำระเงิน (ฺBalance of Payments: BOP) ที่เคยถูกระบุว่ามีผลต่อการแข็งค่าของเงินบาทนั้น ดร. ศุภวุฒิ ยอมรับว่า ข้อมูลใหม่จาก ธปท. ที่มีการปรับปรุงตัวเลขเงินปริศนาในบัญชีดุลการชำระเงินสำหรับปี 2567 จากเดิมรายงานไว้ที่ 530,000 ล้านบาท ได้ถูกปรับลดลงเหลือเพียง 230,000 ล้านบาท นั้นเป็นไปตามความจริง
ทั้งนี้ ตามที่แบงก์ชาติชี้แจง คือเงินจำนวนมากสามารถหาที่มาที่ไปได้จากหน่วยงานอื่นๆ ได้แก่
มาจาก 3 ส่วนหลัก ดังนี้
1. การปรับปรุงตัวเลขราคานำเข้าจากกรมศุลกากร กรมศุลกากรแจ้งว่า ราคาจริงของน้ำมันที่เรานำเข้านั้นน้อยกว่าที่กรมศุลกากรรายงานไปก่อนหน้า ทำให้ส่วนที่เคยถูกมองว่าเกิน หรือปริมาณเงินที่ควรไหลออกน้อยกว่าที่คาด ซึ่งส่วนนี้คิดเป็น 2,100 ล้านดอลลาร์
2. การลงทุนโดยตรง (FDI) จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า มีการชี้แจงว่ามีเงินทุนจากการลงทุนโดยตรงเข้ามามากกว่า ที่เคยพูดถึงไว้เดิมอีก 2,700 ล้านดอลลาร์
3. สินเชื่อการค้า (Trade Credit) กลายเป็นว่ามีผู้นำเข้าสินค้า แต่พวกเขาได้กู้เงินมาและยังไม่ได้จ่ายเงินออกไปในปีนั้น กล่าวคือ ได้สินเชื่อมาทำให้สินค้าเข้าจริง แต่เงินไม่ได้ถูกจ่ายออกไป ซึ่งส่วนนี้คิดเป็น 4,200 ล้านดอลลาร์
โดยยังมีส่วนที่ยังอธิบายไม่ได้เหลืออยู่ ประมาณ 5,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี อย่างไรก็ตาม ส่วนที่ยังหาที่มาไม่ได้นี้ ไม่น่าจะใช่สาเหตุหลัก ที่ทำให้บาทแข็งค่าขึ้นอย่างมากถึง 17% ในช่วงที่ผ่านมา
ชี้ 3 ปัจจัยพื้นฐานที่กดดันค่าเงินบาท
ดร. ศุภวุฒิ ระบุว่า 3 ปัจจัยหลักที่เป็นรากฐานของปัญหาการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่ง ธปท. ต้องให้ความสำคัญ ได้แก่
1. อัตราเงินเฟ้อต่ำกว่าประเทศอื่น เงินบาทมีการเสื่อมค่าเฉลี่ยเพียง 1.1% ต่อปี ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เทียบกับเงินดอลลาร์ที่เสื่อมค่าประมาณ 2.85% ต่อปี ความแตกต่างของอัตราเงินเฟ้อนี้ทำให้ เงินบาทแข็งค่าขึ้นในระยะยาว ตามหลักการอำนาจซื้อที่เท่าเทียมกัน (purchasing power parity)
2. ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลต่อเนื่อง ประเทศไทยมีเงินไหลเข้าอย่างต่อเนื่องเนื่องจากมีบัญชีเดินสะพัดเกินดุลมาโดยตลอด ส่วนหนึ่งของปัญหานี้มาจากการที่ กำลังซื้อในประเทศอ่อนแอ ทำให้ต้องพึ่งพาการขายสินค้าไปต่างประเทศ (ส่งออก).
3. รูปแบบการเข้าแทรกแซงของ ธปท. ซึ่งมักเข้าแทรกแซงแบบ ค่อยเป็นค่อยไป และเป็นแบบ reactive เพื่อป้องกันไม่ให้ค่าเงินแข็งเร็ว แต่การแทรกแซงในรูปแบบนี้ทำให้คนในตลาดทราบดีว่า ผู้ที่ถือเงินบาทจะสามารถทำกำไรได้ตลอดทาง ในระยะยาว เนื่องจากเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นปีละ 1-2%
ดร. ศุภวุฒิเน้นย้ำว่า การแข็งค่าของเงินบาทที่ 17% ใน 17 เดือนนี้ ยังไม่ตอบโจทย์ของหลายฝ่ายที่เป็นผู้ที่กังวลเรื่องบาทแข็ง และเห็นว่าปัญหาพื้นฐานทั้งสามข้อนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าปัญหาเรื่องเงินปริศนามาก
ที่มา.. https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1200182