วิกฤตการณ์พลังงาน ( Oil Crisis ) :
ครั้งที่ 1 : ปี ค.ศ.1973 : สาเหตุเกิดจากประเทศผู้ผลิตนํามันรายใหญ่โดยเฉพาะประเทศซาอุดิอาระเบีย ห้ามส่งนํามัน ( Oil Embargo) ไปขายให้กับประเทศที่ให้การสนับสนุนอิสราเอลในการสู้รบกับชาวปาเลสไตน์โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา ( ราคานํามันปรับตัวจาก 3.14 USD ต่อ Barrel ในปี ค.ศ. 1973 มาอยู่ที่ 10.41 USD ต่อ Barrel ในปี ค.ศ. 1974 )
ครั้งที่ 2 : ปี ค.ศ.1978 : สาเหตุเกิดจากการผลิตนํามันที่ลดลง หลังจากการปฏิวัติที่อิหร่าน ( ราคานํามันปรับตัวจาก 12.91 USD ต่อ Barrel ในปี ค.ศ. 1978 มาอยู่ที่ 29.19 USD ต่อ Barrel ในปี ค.ศ. 1974 )
ครั้งที่ 3 : ปี ค.ศ.2008 : สาเหตุเกิดจากประเทศจีนมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเกินสิบเปอร์เซ็นต์ต่อเนื่องกันถึง 30 ปี จึงทําให้มีความต้องในการใช้พลังงานที่สูง ( ราคานํามันอยู่ที่ 46 USD ต่อ Barrel ในปี ค.ศ. 2004 แล้วปรับตัวขึ้นไปทําจุดสูงสุดที่ 147 USD ต่อ Barrel เมื่อเดือนกรกฎาคมปี ค.ศ. 2008 )
ครั้งที่ 4 : ปี ค.ศ. 2022 : สาเหตุเกิดจากสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ( ก่อนสงครามราคานํามันอยู่ที่ 62.43 USD ต่อ Barrel เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ปี ค.ศ. 2021 และปรับตัวขึ้นไปทําจุดสูงสุดที่ 130.50 USD ต่อ Barrel เมื่อวันที่ 7 มีนาคมปี ค.ศ. 2022 แล้วปรับตัวลงมาอยู่ที่ 95.09 USD เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 2022 )
วิฤตการณ์พลังงานครั้งนี้ทําให้เกิดเงินเฟ้อไปทั่วโลก และเป็นผลดีต่อ Cryptocurrency รวมทั้ง LUNC และ Bitcoin ที่จะฟื้นตัวเป็นขาขึ้นรอบใหญ่ต่อไป
โปรดติดตามรายละเอียดได้ในลิ้งค์เพจด้านล่าง :