นักเศรษฐศาสตร์เตือน รับมือพายุ ‘เศรษฐกิจ’ ครึ่งปีหลัง
เศรษฐกิจครึ่งปีหลังปัจจัยเสี่ยงพุ่ง ‘นักเศรษฐศาสตร์‘ ห่วงเศรษฐกิจติดลบ ครึ่งหลังแรงส่งหาย ส่งออกกลับมาหดตัว เผชิญความเสี่ยงจากราคาน้ำมันพุ่ง จากสงคราม

เศรษฐกิจไทยครึ่งหลังของปี 2568 เผชิญ “ความท้าทาย” และ “ความไม่แน่นอน” หลายประการ จากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ทั้ง “นโยบายทรัมป์-การเมืองป่วน-หนี้สูง” นักเศรษฐศาสตร์ประเมิน “จีดีพีไทย” อาจชะลอตัวลงรุนแรงและยาวนานกว่าคาดการณ์ ทั้งเสี่ยงติดลบ หากไม่มีมาตรการที่เหมาะสมและรวดเร็ว
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงชะลอตัวลงต่อเนื่อง จากปัจจัยภายนอกที่สำคัญคือ “ภาษีทรัมป์” อาจส่งผลเศรษฐกิจไทยทรุดลงมากกว่าที่คาด เพราะเศรษฐกิจไทยเกี่ยวเนื่องกับต่างประเทศค่อนข้างใหญ่ทั้งการลงทุน ส่งออก และท่องเที่ยว
หากดูการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยทั้งปีมองว่าอยู่ที่ 1.8% แต่ครึ่งปีหลังมีโอกาสเห็น “จีดีพีติดลบ” หากเทียบไตรมาสต่อไตรมาส หากทรัมป์ยังคงเก็บภาษีระดับสูง กระทบส่งออกและภาคการผลิตให้แย่ลงในไตรมาส 3-4
ดังนั้น มีความจำเป็นต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งกำลังซื้ออ่อนแอลง แต่ไม่ต้องการเห็นการแจกเงิน เพราะไม่ทำให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
“ต้องเน้นมาตรการจ้างงาน สร้างอาชีพ เอื้อให้ต่อยอดได้ยั่งยืน โดยเฉพาะการสร้างงานระดับชนบทและภาคเกษตร ซึ่งเป็นกลุ่มที่กำลังซื้ออ่อนแอมาก ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ หรือการก่อสร้างชลประทานในพื้นที่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าสูงขึ้น การหาตลาดที่ดีขึ้น สิ่งเหล่านี้ช่วยประคองเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นวิกฤติที่เรากำลังเผชิญในระยะข้างหน้าได้”
นอกจากนี้ ต้องการเห็นมาตรการลดภาระหนี้ ช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ให้ลืมตาอ้าปากและแก้ไขสถานการณ์ได้ เน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน มีการกระจายรายได้ ไม่ใช่แค่การใช้เงินกระตุ้นเท่านั้น
- เศรษฐกิจครึ่งปีหลังความท้าทายรุนแรง
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังปี 2568 เผชิญความท้าทายที่หลากหลายและรุนแรงขึ้น
โดยเฉพาะความไม่แน่นอนทางการเมือง บั่นทอนความเชื่อมั่นและอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ล่าสุดเกียรตินาคินภัทรได้ปรับลดจีดีพีไทยปีนี้เหลือ 1.6% สะท้อนมุมมองที่เปราะบางกว่าเดิม จากความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นความเสี่ยงหลักที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและภาคเอกชนอย่างรุนแรง หากรัฐบาลขาดเสถียรภาพ อาจกระทบโครงการต่างๆ ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ รวมถึง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 หากล่าช้าอาจทำให้เศรษฐกิจไทยอาจ “ติดลบ” ไตรมาส 4 ปีนี้
“ความท้าทายทางเศรษฐกิจหลักๆ มาจากภาคการท่องเที่ยวที่อ่อนแรง ที่อาจฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยปีนี้ จากนักท่องเที่ยวที่ต่ำกว่าคาด และความไม่แน่นอนของนโยบายทรัมป์ ที่อาจกระทบต่อขีดแข่งขันของไทยและส่งออกที่ต่ำลง”
ความเสี่ยงใหญ่อีกด้าน คือ ภาคการเงินตึงตัว การปล่อยสินเชื่อของภาคธนาคารติดลบต่อเนื่อง แบงก์ไม่กล้าปล่อยกู้ ทำให้ระบบเศรษฐกิจไทยไม่หมุนเวียน ต้องหามาตรการจูงใจโดยสร้าง Incentive ที่เหมาะสม ทั้งการจัดทำโครงการค้ำประกันพอร์ตสินเชื่อของธนาคาร การออกมาตรการสินเชื่อพิเศษ กระตุ้นให้ธนาคารกล้าปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
ภายใต้เศรษฐกิจไทยชะลอในครึ่งปีหลัง รัฐบาลต้องเร่งรัดการใช้จ่ายเงินตามมาตรการต่างๆ ทำให้เกิดการรั่วไหลของงบประมาณน้อยที่สุด มาตรการต่างๆ ต้องทำให้เร็ว ตรงจุด เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ให้เม็ดเงินถึงมือประชาชนและผู้ประกอบการมากขึ้น
- สารพัดปัจจัยลบทุบเครื่องยนต์ ศก.
นริศ สถาผลเดชา ประธานกลุ่มงาน Data และ Analytics ธนาคารทหารไทยธนชาต (ทีทีบี) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยมีโอกาสชะลอตัวชัดเจนในครึ่งปีหลัง ซึ่ง “น่าเป็นห่วง” คาดว่าการส่งออกหดตัวต่อเนื่องจากนโยบายทรัมป์ และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะความตึงเครียดในตะวันออกกลาง กระทบเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยชะลอตัว
“ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง เพิ่มความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยมากขึ้นผ่านราคาน้ำมัน อาจสูงขึ้นในระยะข้างหน้า เช่นเดียวกับความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนในอดีต ซึ่งไทยพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันสูงเกือบ 80% หากสถานการณ์รุนแรงขึ้น อาจกระทบราคาน้ำมันพุ่งสูง กระทบไทยมากผ่านการนำเข้าที่มีต้นทุนสูงขึ้น เร่งให้เงินเฟ้อกลับสูงขึ้นอีกครั้ง”
นอกจากนี้ ปัญหาการเมืองในประเทศเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติอย่างมาก และความเสี่ยงจากหนี้ครัวเรือนไทย มีแนวโน้มแย่ลง
“ล่าสุดเราปรับจีดีพีมาอยู่ที่ 1.5% จากเดิมเคยมองสูง 2.3% รวมความเสี่ยงจากปัจจัยทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ มองว่าครึ่งปีหลังเศรษฐกิจอาจลดลงมาก อาจไม่ถึง 1% ต้นๆ ด้วยซ้ำ”
ดังนั้นมาตรการต้องเน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายเพิ่ม Multiplier และมาตรการที่ออกมาไม่ควรจำกัดแค่การเสริมสภาพคล่อง ซึ่งการบริโภคในประเทศจำเป็นต้องได้รับการกระตุ้นอย่างเร่งด่วน คาดว่าการบริโภคปีนี้จะเติบโตเพียง 2% จากเคยคาดไว้ 4%
มาตรการที่เหมาะสมอาจต้องเน้นเฉพาะกลุ่ม โดยการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ผู้มีรายได้น้อย พุ่งเป้าไปที่การลดภาระค่าใช้จ่าย
กลุ่มรายได้ปานกลาง การบริโภคลดลงเพราะหนี้สูง เงินฝากแทบหมด ควรมีโครงการที่ช่วยให้กลุ่มนี้บริโภคต่อไปได้
ส่วนกลุ่มรายได้สูง ยังมีเงินออมและความมั่งคั่ง แต่ไม่กล้าตัดสินใจซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ เช่น บ้าน รถยนต์ ต้องทำมาตรการจูงใจ เช่น มาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับการซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือรถยนต์ใหม่ รวมถึง กระตุ้นกำลังซื้อจากต่างประเทศ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ควรใช้กลยุทธ์ที่คล้ายคลึงกับจีนเคยทำ เช่น ออกตั๋วในรูปแบบลอตเตอรี่ หรือ หวย อาจกำหนดเงื่อนไขให้พาครอบครัวมาด้วย เช่น 1 ต่อ 2 และนำระบบ e-Wallet มาใช้อำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว
- ครึ่งปีหลังสถานการณ์แย่ลง
บุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญศึกหลายด้านพร้อมกัน ทำให้ภาพรวมดูย่ำแย่ โดยเฉพาะแนวโน้มครึ่งปีหลังมองว่าสถานการณ์แย่ลง
โดยกสิกรไทยคาดการณ์จีดีพีทั้งปีเพียง 1.4% และมีโอกาสต่ำลงได้อีก และอาจเห็น “Technical Recession” ได้ในครึ่งปีหลัง จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต่ำลงเหลือเพียง 32-32.5 ล้านคน จาก 37 ล้านคน เช่นเดียวกับการลงทุนภาคเอกชน ที่มีโอกาสติดลบ เม็ดเงินลงทุนจำนวนมากยังคงรอดูสถานการณ์ โดยเฉพาะประเด็นภาษีนำเข้าที่ยังไม่มีความชัดเจน นักลงทุนต่างชาติยังอยู่ในโหมด Wait and See ไม่กล้าลงทุนเพิ่ม
นอกจากนี้ “ส่งออก” ยังน่าห่วง จากผลกระทบสงครามการค้าทรัมป์ และหากดูการใช้จ่าย การบริโภค เห็นสัญญาณลบผ่านสินเชื่อ โรงงานต่างๆ หลายแห่ง ร้านอาหารปิดตัวมากขึ้น เศรษฐกิจไทยขณะนี้มีปัจจัยฉุดรั้งค่อนข้างมาก
ที่มา.. https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1187195