จับตาต่างชาติเริ่มถอนเงินออกจากตลาดหุ้นเอเชีย
ต่างชาติเริ่มถอนเงินออกจากตลาดหุ้นเอเชียครั้งที่ 2 ในรอบมากกว่า 2 ปี ขณะที่ข้อขัดแย้งทางการค้าสหรัฐและจีนผ่อนคลายลง กระตุ้นให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่
ในการจับตาของนักลงทุนท่ามกลางความสงสัยกับการดีดตัวพุ่งเป็นเลข 2 หลักของผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียมาจากปัจจัยอะไรเป็นเหตุผลสำคัญ นับตั้งแต่ต้นปีมานี้ โดยเฉพาะประเด็นที่มุ่งตรงที่การไหลเข้าของเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ
ถึงแม้ว่า เม็ดเงินจากการลงทุนของกองทุนหุ้นที่เรียกว่า ETF (Exchange Traded Fund) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 9% สู่ยอดสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่เป็นมูลค่ามากถึง 502,000 ล้านดอลลาร์ ภายใต้การจัดการลงทุนสำหรับ Asia Equity Exchange-Traded Funds
แต่ก็ยังเป็นแนวโน้มที่เริ่มมีการถอนเงินออกจากตลาดหุ้นเอเชียจนกลายเป็นเม็ดเงินไหลออกสุทธิเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 ในรอบมากกว่า 2 ปี
อย่างไรก็ตาม ดัชนี MSCI Asia Pacific Index ได้มีการเคลื่อนไหวปรับตัวเพิ่มขึ้น 12% ในปีนี้ โดยที่มีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขี้นถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ผู้สังเกตการณ์ตลาดส่งสัญญาณเตือนว่า นักลงทุนควรจะใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้น หลังจากที่ตลาดหุ้นไตรมาสแรกปีนี้พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรง
โดยปัจจัยที่ต้องจับตามองก็คือ ความแข็งแกร่งของภาวะเศรษฐกิจโลก และการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่อาจจะเข้าสู่วงจรเศรษฐกิจถดถอย โดยเฉพาะผลกระทบต่อความผันผวนของราคาสินทรัพย์ในญี่ปุ่นเปรียบเทียบกับราคาสินทรัพย์ในสหรัฐ
ขณะที่สัปดาห์แห่งความตึงเครียดของข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ผ่อนคลายลงในช่วงที่ผ่านมา ได้กระตุ้นให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนเป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้นถึง 20% หลังจากที่เศรษฐกิจมีการชะลอตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากธนาคารกลางจีนยังคงใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ จากรายงานของธนาคารกลางจีน ชี้ว่า เมื่อปี 2018 นั้น สถาบันการเงินจีนมีการถือครองสินทรัพย์รวม 293.52 ล้านล้านหยวน (ราว 43.80 ล้านล้านดอลลาร์) เพิ่มขึ้น 6.4% เมื่อเทียบระยะเดียวกันปีที่แล้ว ส่วนที่เป็นหนี้สินรวมที่ระดับ 267.70 ล้านล้านหยวน (ราว 39.30 ล้านล้านดอลลาร์) เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบระยะเดียวกันปีก่อน
ประกอบด้วยสินทรัพย์สถาบันธนาคารของจีน 268.24 ล้านล้านหยวนซึ่งเพิ่มขึ้น 6.3% บริษัทหลักทรัพย์ 6.95 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้น 1.7% และบริษัทประกันภัย 18.33 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้น 9.4%
ทั้งนี้ จากรายงานของ Barclays Bank และ Morgan Stanley บ่งชี้การคาดการณ์ว่า ดัชนีหุ้น S&P 500 ของวอลล์สตรีทจะพุ่งขึ้น 15% จนถึงสิ้นปี 2019 นี้ ขณะที่ดัชนี Shanghai Composite ของจีนจะกลับมาพุ่งขึ้น 28% ในช่วงเวลาเดียวกัน เข่นเดียวกับดัชนี Stoxx Europe 600 จะเพิ่มขึ้น 15% และดัชนีหุ้นตลาดเกิดใหม่เพิ่มขึ้น 14%
ล่าสุด ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อวันศุกร์ที่ 26,412 พุ่งขึ้น 269.25 จุด หรือ 1.03% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,984 เพิ่มขึ้น 36.80 จุด หรือ 0.46% และดัชนี S&P 500 ปิดยืนเหนือระดับ 2,907 เพิ่มขึ้น 19.09 จุด หรือ 0.66%
โดยผู้สังเกตการณ์ในตลาดวอลล์สตรีทจำนวนมาก ระบุว่า นักลงทุนยังคงมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนเป็นเชิงบวก แต่ก็ยังเกิดความตระหนักถึงความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ส่งผลให้นักลงทุนยังคงมีความระมัดระวังในการเข้าลงทุนอย่างเห็นได้ชัด
