ว่าด้วยเรื่องของ “MORE”

ว่าด้วยเรื่องของ “MORE”

หุ้น MORE ดิ่งฟลอร์ 2 วันติด กลายเป็นประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์และสร้างความแตกตื่นในหมู่เหล่านักลงทุน 

“มอร์ รีเทิร์น” หรือชื่อเดิมคือ บริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) หรือ DNA เปลี่ยนชื่อใหม่พร้อมปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 15 ก.พ.2562 กลายมาเป็น บริษัท มอร์ รีเทิร์น (MORE) ในปัจจุบัน 

MORE เปิดซื้อขายเมื่อวันพฤหัสบดี ที่ราคา 2.90 บาท จำนวน 1,531.77 ล้านหุ้นสูงกว่าราคาปิดก่อนหน้า 0.12 สตางค์  จนเป็นที่มาของคำถามว่า..

ใครซื้อ..

ใครขาย..

โดยราคาแรกเริ่มของ หุ้น MORE อยู่ที่หุ้นละ 0.30 บาท ก่อนจะถูกไล่ราคาขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนขึ้นมา “สูงสุด” ที่ 2.98 บาทต่อหุ้น ตามสไตล์ของหุ้นเล็กเก็งกำไร

ทั้งที่ผลการดำเนินงานของบริษัทขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นเมื่อปี 2564 ที่บริษํทมีกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้

จนกระทั่งเมื่อเช้าวันพฤหัสบดีที่ 10 พ.ย. 2565  ที่ผ่านมา หลังราคาเปิดที่ 2.90 บาท 

หุ้น MORE ดิ่งปักหัวลงทันทีจนฟลอร์สนิทชนิดร้องออกเสียง “วัว” ไปตามๆกัน

ไม่มีข่าวร้าย

ไม่มีปัจจัยลบ

แล้วทำไม MORE จึงทรุดหนัก

ไม่มีคำอธิบายใดๆ นอกจากการคาดเดา

ปริมาณหุ้นที่ซื้อขายในราคาเปิดถือว่าสูงผิดปกติ จึงถูกตั้งคำถามว่า 

ใครเป็นคนตั้งซื้อ

และใครเป็นคนตั้งขาย

การซื้อขายลักษณะนี้ฝั่งคนซื้อและฝั่งคนขายต้องมีความประสงค์ที่จะจับคู่ซื้อขายพร้อม ๆ กันเองแน่ๆ(หรือเปล่า)...   และต้องเป็นกลุ่มที่มีหุ้น(ต้นทุนต่ำ)อยู่ในมือจำนวนมากและต้องมีเจตนามีการวางแผนซ่อนเร้นมาตั้งแต่ต้น

ตลาดหลักทรัพย์ได้สอบถามไปยัง MORE ทันทีเกี่ยวกับราคาหุ้นที่ผันผวน และได้รับการชี้แจงกลับว่า บริษัทไม่มีพัฒนาการใดๆ ที่ส่งผลอย่างมีนัยต่อราคาหุ้น 

วันพฤหัสบดีทุบฟลอร์สนิท

วันศุกร์ฟลอร์ต่อเนื่อง

เจ็บทั้งผู้ถือหุ้นสามัญ

เจ็บทั้งผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิ์ซื้อหุ้นสามัญรุ่นที่ 2 

เพราะ MORE-W2 เพิ่งเปิดให้แปลงสภาพเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยผู้ถือวอร์แรนต์จำนวน 197 ล้านหน่วย นำไปแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ ในสัดส่วน 1 วอร์แรนต์ต่อ 1 หุ้นสามัญ ในราคาแปลงสภาพ 2 บาท และหุ้นที่เกิดจากการแปลงสภาพกำลังจะเข้าซื้อขายในอีกไม่กี่วันข้างหน้า 

เรียกว่ายังไม่ทันเกิดก็แท้งกลางอากาศ

ธุรกรรมการซื้อขายหุ้น MORE ที่เกิดขึ้นถือว่าโหดและไร้ซึ่งความปรานี เป็นการวางแผนมาเพื่อปล้นทั้งโบรกเกอร์และรายย่อย

…เจ็บครั้งนี้เป็นดั่งครูสอนให้เข้าใจ..ว่า..อย่าไว้ใจหุ้นเปลี่ยน “ชื่อ”

อ้างอิงข้อมูลจาก...กรุงเทพธุรกิจ/ ผู้จัดการออนไลน์