ห้องเม่าปีกเหล็ก

จริงหรือไม่?..อนาคตสาขาธนาคารจะไม่มีความหมาย

โดย อิคคิวซัง
เผยแพร่ :
64 views
 
 
ทุกวันนี้ โลกของเรามีการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน โดยเฉพาะธุรกิจการเงินที่ต่างไปจากในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งคงมีหลายคนเคยตั้งคำถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ ที่ต่อจากนี้เราจะไม่เห็นสาขาธนาคารอีกต่อไปแล้ว หลายคนคงได้ยินข่าวเกี่ยวกับการลดจำนวนสาขา ลดจำนวนพนักงานในช่วงหลายปีนี้อยู่บ่อยๆ แล้วมันเป็นไปได้จริงหรือไม่ที่ก้าวต่อไปเราจะไม่สามารถพบเจอธนาคารตามท้องถนนหรือในห้างสรรพสินค้าอีกต่อไปแล้ว
คำตอบสำหรับเรื่องนี้ก็คือ ไม่ใช่แค่เป็นไปได้ แต่ มันเป็นไปแล้ว แล้วคำว่า “Virtual Bank” มันคืออะไรกันแน่ เป็นธนาคารดิจิทัล ธนาคารเสมือนจริง หรือธนาคารไร้สาขา หรือมันคือการผสมผสานทุกอย่างเข้าด้วยกันกันแน่นะ
 
ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ ธนาคารดิจิทัลสัญชาติบราซิลระดับยูนิคอร์นที่ไม่มีการบริการหน้าสาขา ชื่อ Nubank ก็ IPO ไปแล้วที่ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ในวันที่ 9 ธันวาคม 2021 แม้จะยังไม่ทำกำไร แต่ก็เป็นเหมือนก้าวที่ยิ่งใหญ่ของการปฏิวัติธนาคารทั้งประเทศบราซิลเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเทรนด์ธุรกิจในรูปแบบ “Virtual Bank” นั่นได้กระจายไปทั่วโลกแล้ว
ส่วนอีกหนึ่งตัวอย่างของ Virtual Bank ที่เรียกว่าประสบความสำเร็จแบบสุดๆ ซึ่งเราจะมาเล่าให้ฟังวันนี้ ไม่ไปไหนไกล เป็นประเทศจีน พี่ใหญ่ของซีกโลกตะวันออกอีกเช่นเคย โดยโมเดลธุรกิจของ Virtual Bank ในประเทศจีน แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่
 
1. ธนาคารแบบดั้งเดิม ที่ต้องการขยายฐานลูกค้าในการเข้าถึงประชากรรุ่นใหม่ โมเดลธุรกิจของธนาคารดั้งเดิมที่เปลี่ยนตัวเองมาเป็น Virtual Bank จะเป็นลักษณะการนำผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่มาปรับให้อยู่ในลักษณะออนไลน์ ใช้งานได้สะดวกสบายผ่านโทรศัพท์
 
2. ธนาคารที่เกิดจากการรวมตัวกันของผู้ถือหุ้นจากเทคโนโลยีแพลตฟอร์มเจ้าใหญ่ กับ สถาบันทางการเงิน ซึ่งทำให้ได้ประโยชน์ทั้งจากฐานลูกค้าจากธนาคารแบบดั้งเดิม และความสามารถทางเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าจากแพลตฟอร์ม โดยเป้าหมายของกลุ่มที่ 2 นี้จะแตกต่างจากกลุ่มแรกตรงที่ไม่ได้เพียงแค่ต้องการให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสะบายจากการทำธุรกรรมออนไลน์ แต่กลับมีเป้าหมายที่จะจับกลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน (Underserved Person) ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มรายได้น้อย ขาดความรู้ หรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลความเจริญ ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอของกลุ่มนี้ ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ผู้ผลิตรายเดียวที่จะเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินของธนาคารเท่านั้น แต่กลับมีบริการจากพาร์ทเนอร์อื่นๆ เข้ามาร่วมวงให้ครบวงจรมากขึ้นด้วย โดยจากผลดำเนินงานทางการเงินในปี 2020 แสดงให้เห็นว่า Virtual Bank ในกลุ่มที่ 2 นี้มีโอกาสที่จะสร้างผลกำไรได้ และรวดเร็วกว่ากลุ่มแรกอย่างเห็นได้ชัด
 
โดยเราจะเห็นได้ว่า ผู้เล่นส่วนใหญ่ในจีนมีบริษัทเทคโนโลยีหรือ ecosystem ของตัวเองเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และแน่นอนจากฐานลูกค้าที่มีพร้อมอยู่ในมือ สามารถก้าวได้รวดเร็ว และแม่นยำกว่า ทำให้ Virtual Bank ที่เริ่มทำกำไรได้ก็อยู่ในกลุ่มนี้เกือบทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น WeBank ที่ถือหุ้นใหญ่โดย Tencent และ MYbank ถือหุ้นใหญ่โดย Alibaba หรือจะเป็น Xinwang Bank ถือหุ้นใหญ่โดยบริษัทอุปกรณ์เทคโนโลยีชื่อดังอย่าง Xiaomi
 
เรามายกตัวอย่างกรณีของ WeBank จากบริษัทเทคโนโลยีเจ้าใหญ่อย่าง Tencent มีเคล็ดลับความสำเร็จที่ทำให้ตัวเองแตกต่างจากธนาคารแบบดั้งเดิม โดยนอกจากเริ่มต้นจากการเข้ามาจับกลุ่ม Underserved Person จนค่อนข้างโตเต็มที่แล้ว ก็เริ่มเข้ามาจับกลุ่มลูกค้า SMEs พ่อค้าแม่ค้าที่เข้ามาขายของใน Ecosystem ของตน โดยเทคโนโลยีที่นำมาใช้นอกจาก Distributed Core Banking ที่พัฒนาโดย WeBank เองเพื่อให้รองรับขนาดของธุรกรรมได้สูงและลดต้นทุนการดำเนินการเหลือเพียง 1ใน10 ของธนาคารแบบดั้งเดิม อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ WeBank ถึงขั้นลุกขึ้นมาพัฒนาเองก็คือ Blockchain ชื่อว่า FISCO BCOS ซึ่งก็เป็นตัวช่วยในการหาทางออกหรือเพิ่มโอกาสให้กับธุรกิจทั้งของตัวเองและกับธนาคารอื่นๆ
 
และอีกหนึ่งตัวอย่างของธนาคารที่ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์บน FISCO BCOS ก็คือ Luzhou Bank ที่ร่วมเป็นหนึ่งในพาร์ทเนอร์บน Wechat Mini program ที่มีชื่อว่า The Green Bud Points เพื่อสะสมแต้มจากพฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการให้แต้มเมื่อลูกค้าทำธุรกรรมออนไลน์ และอีกตัวอย่างของ AI Bank ที่พัฒนา ทั้ง Virtual Influencer และ Digital Collectible (NFT) บน Blockchain ของ Baidu ชื่อว่า XuperChain ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีดึงดูดลูกค้า Gen Z เข้ามาใช้บริการเช่นเดียวกัน
ส่วนในฮ่องกงก็เช่นเดียวกัน จะมีลักษณะโมเดลธุรกิจคล้ายๆ กันกับในประเทศจีน มีการผสมผสานกันระหว่าง Ecosystem และสถาบันการเงิน ยกตัวอย่างเช่น Mox Bank ที่ร่วมจับมือกันกับ CTRIP หรือ Airstar Bank จับมือกันกับ Xiaomi เพื่อเป็นการนำฐานลูกค้าเข้ามาอยู่ในแพลตฟอร์มของตน นอกจากนี้ยังมี ZA Bank ที่ก็นำลูกเล่นอย่าง Gamification เข้ามาใช้เพื่อดึงดูดลูกค้าให้ใช้เวลาบนแอพของตนยาวนานยิ่งขึ้น แต่เนื่องด้วยตลาดในฮ่องกงที่ค่อนข้างเล็ก และเริ่มต้นในระยะเวลาอันสั้นในปี 2019 จึงยังไม่สามารถขยายธุรกิจได้ใหญ่ตามเป้าและทำกำไรได้
 
จากตัวอย่างทั้งหมดที่เล่ามาข้างต้น ก็แสดงให้เห็นถึงการเริ่มต้นผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี Web 3.0 และธุรกิจดั้งเดิมของสถาบันการเงิน ที่ต่างก็พยายามดึงเอาประสิทธิภาพมาปรับเปลี่ยนและใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดกับธุรกิจตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป หวังว่าไอเดียต่างๆที่นักพัฒนากำลังก้มหน้าก้มตาทำกันอยู่ จะเข้ามาเปลี่ยนการดำเนินชีวิตปัจจุบันของเราไปในทางที่ดีขึ้น คงต้องรอติดตามดูว่าในประเทศไทยเราจะได้สัมผัสประสบการณ์ของสถาบันทางการเงินในรูปแบบใหม่กันเร็วๆนี้หรือไม่
 
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก KASIKORN VISION (KVision)

อิคคิวซัง