ชำแหละมาตรการรัฐ 6.8 หมื่นล้านบาท เพียงพอกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่
ล่าสุด รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกชุด 6.8 หมื่นล้านบาท ทิ้งทวนเดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ 2563 มีทั้งแจกเงิน จ้างงานเด็กจบใหม่ และเพิ่มเงินหนุนเที่ยวในไทยผ่านมาตรการ “เราเที่ยวด้วยกัน” เพื่อประคองเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ไม่ให้ดิ่งลงแรง เพราะอะไรถึงต้องออก และจะช่วยยื้อเศรษฐกิจที่อาการโคม่าเวลานี้ได้แค่ไหน
มาฟังการวิเคราะห์ของนักเศรษฐศาสตร์กัน นางสาวถนอมศรี ฟองอรุณรุ่ง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร ในกลุ่มธุรกิจการเงิน เกียรตนาคินภัทร (KKP) ฉายภาพว่า
“เม็ดเงินของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เพิ่งออกมา น่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้นิดหน่อยราว 0.1 -0.2% เรายังมองว่า ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจมีโอกาสดีขึ้นจากครึ่งปีแรกค่อนข้างน้อยมาก”
ทั้งนี้สภาพัฒน์ ประกาศอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ครึ่งปีแรก -6.9%
เธอเปรียบเทียบว่า ช่วงไตรมาส 2 ที่ล็อคดาวน์ประเทศ รัฐบาลออกมาตรการต่างๆ มาใช้เม็ดเงินราว 2-3 แสนล้านบาท ส่วนไตรมาส 3 มีใช้เม็ดเงินผ่านโครงการต่างๆของมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่อนุมัติรอบแรกเพียง 4.5 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมกับมาตรการที่เพิ่งออกมาอีก 6.8 หมื่นล้านบาท เท่ากับว่า ไตรมาส 3 รัฐบาลใส่เงินกระตุ้นเศรษฐกิจ1.13 ล้านล้านบาท ซึ่งน้อยลงกว่าไตรมาส 2 เราจึงคาดว่าไตรมาส 3 GDP น่าจะติดลบ9- ลบ10% ใกล้ๆกับไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ติดลบ 12.2%
“เรามองว่าถึงไตรมาส3 จะผ่อนคลายลงเทียบกับไตรมาส 2ที่ล็อคดาวน์ แต่สถานการณ์ในตอนนี้ดีขึ้นมาได้ แต่ก็ยัง offset ไม่ได้หมด ทำให้การปรับตัวขึ้นมาของไตรมาส 3 ยังไม่สตรองด้วย สิ่งที่รัฐบาลใส่เข้าไป เทียบไม่ได้กับนโยบายหรือมาตรการต่างๆที่กำลังจะหมดอายุลง
นางสาวถนอมศรี วิเคราะห์แต่ละมาตรการที่รัฐกำลังทำ เริ่มจากมาตรการแจกเงิน3,000 บาท ช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ แผงลอย และคาดว่าจะมีร้านค้า 80,000 ร้านค้าที่เข้าร่วมรายการ อาจใช้งบประมาณราว 4.5 หมื่นล้านบาท ว่า ถือว่ามีขนาดเล็กและมีข้อจำกัดเยอะ เน้นกระจายเงินในกลุ่มคนระดับล่าง ขณะที่ไม่ได้กระตุ้นกลุ่มที่มีกำลังซื้อหรือกลุ่มคนมีรายได้ปานกลางจริงๆ จึงมองว่าไม่ได้ช่วยปลุกการบริโภคแค่ช่วงสั้นๆ จึงไม่ได้เป็นแรงส่งให้ฟื้นตัวกลับมาได้เท่าที่ควร
ในส่วนของการจ้างงานเด็กจบใหม่ จำนวน 2.6 แสนตำแหน่ง จะใช้เม็ดเงินราว 2.3หมื่นล้านบาท โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินสมทบไม่เกิน 50 % ของเงินเดือน หรือไม่เกิน 7,500 บาท ให้กับนายจ้าง เป็นเวลา 1 ปี (ต.ค.63- ต.ค.64) เธอมองว่า เป็น step แรกในการช่วยคนตกงานเฉพาะกลุ่มก่อน ขณะที่ประเมินตัวเลขคนถูกเลิกงานรออยู่ 2 ล้านคน ที่ยังกลับไปทำงานไม่ได้ เพราะธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง กลับมาเปิดดำเนินการเพียง 20-30% ของทั้งหมดเอง เธอตั้งคำถามว่า คนกลุ่มนี้จะช่วยเหลืออย่างไรต่อไป
“นักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่เข้ามา และแม้จะมีการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาตเฉพาะบางจุด ก็ไม่แน่ว่าจะมาถึง 1 หมื่นคนหรือไม่”
สำหรับการขยายมาตรการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ด้วยการให้สิทธิจองที่พักจาก 5 คืนเป็น10 คืน หรือเพิ่มเงินช่วยค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวจาก 1,000 บาท เป็น 2,000บาท ซึ่งผลที่ผ่านมา 2 เดือน ราคาห้องพักคืนละ 2-3 พันบาทเท่านั้น ซึ่งช่วยกระตุ้นได้เพียงส่วนน้อย ขณะที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรายได้ปานกลาง ที่มาใช้มาตรการนี้ และมีการใช้จ่ายบริโภคไม่มาก ต่างกับกลุ่มคนที่มีรายได้สูงจะจับจ่ายใช้สอยเยอะกว่า ดังนั้น ณ ขณะนี้ผลที่ได้ยัง “น้อยกว่า”ที่คาดไว้ แต่ก็ต้องรอดูผลจนถึงสิ้น ต.ค. นี้
เธอต่อภาพจิ๊กซอว์เศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายปลายปีนี้ ว่า ทิศทางไม่น่าจะเห็นการปรับตัวดีขึ้นได้ คงจะแค่รักผาาระดับทรงตัวหรือไม่ให้แย่ลง เพราะ
หากรัฐบาลไม่อัดฉีดมาตรการนี้ออกมา น่าจะเห็นเศรษฐกิจลงลึก และที่คาดหวังในระยะข้างหน้าจะพลิกกลับมาได้นั้น ก็จะไม่กลับมา ซึ่งจะแก้ยากขึ้นไปอีก
เธอชี้จุดตายของเศรษฐกิจ คือ ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ทั้งนี้มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของ ธปท. ช่วยค้ำไว้อยู่ทั้งการพักเงินต้น-ดอกเบี้ย ไว้ รวมเอสเอ็มอีและรายย่อยมียอดหนี้รวมสูง 6.8 ล้านล้านบาทแต่มาตรการเหล่านี้ กำลังจะสิ้นสุดลง และปล่อยให้ธนาคารพาณิชย์ออกมาตรการมารับไม้ต่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่ยังมีปัญหา ส่วนมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ(ซอฟโลน) ยังมีการปล่อยกู้น้อยอยู่ เพราะธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังคุณภาพหนี้ จึงเลือกช่วยลูกหนี้ที่ไปรอด
ส่วนธุรกิจที่ไม่มีสัญญาณรอด ก็จะถูกยึดหรือปรับโครงสร้างหนี้อีกรอบ ซึ่งลูกหนี้ที่หมดมาตรการช่วยเหลือแล้ว คาดว่าจะมีลูกหนี้ดีที่ไปต่อเองได้ราว 3 ล้านล้านบาทหรือครึ่งหนึ่งของทั้งหมด ส่วนที่เหลือกว่า 3 ล้านล้านบาท จะเป็นลูกหนี้ที่รอแก้ปัญหาต่อไป จึงเป็นกลุ่มที่น่าห่วงมากสุด
“แม้ว่าล่าสุดธปท.จะออกมาตรการช่วยรายย่อยให้รวมหนี้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ได้ แต่ยอดหนี้กลุ่มนี้มีเพียง 1-2 หมื่นล้านบาทที่ได้รับการดูแล ยังมีอีก กลุ่มหนี้ธุรกิจอีก 3 ล้านล้านบาทที่ยังน่าห่วงมาก จึงต้องดูรัฐบาลจะออกมาตรการอะไรเพิ่ม ถ้าจะใส่เงินก็ต้องให้ตรงเป้าหมาย ซึ่งตอนนี้ก็คือ ภาคธุรกิจที่ไม่มีรายได้ สายป่านสั้นในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ขายของไม่ได้ หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจะอยู่ได้ไม่ถึง3เดือน
เธอชี้ว่า ผลกระทบจากภาคท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวไม่ได้ ขณะนี้ได้กระทบไปถึงธุรกิจอื่นๆด้วยเหมือนกัน รวมไปถึงธุรกิจผลิตเพื่อส่งออกด้วยเพราะตลาดไม่มีความต้องการซื้อเลย
นางสาวถนอมศรี กล่าวว่า สำหรับการดำเนินการช่วยเหลือของธปท. คงไม่น่าจะดำเนินการลดดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ระดับต่ำ 0.50% แล้ว เพราะช่วงที่ผ่านมา ธปท. ออกตัวว่าทำนโยบายกสรเงินเต็มที่แล้ว และที่ผ่านมาก็ช่วยเรื่องแก้ปัญหาหนี้ในระบบประคองภาคธุรกิจให้ฝ่าช่วงวิกฤตโควิดได้แล้ว หลังจากนี้ ให้ฝากความหวังกับเจ้าหนี้สถาบันการเงินต่างๆแทน และความหวังจากนโยบายการคลัง คือให้อัดฉีดเงินมาช่วยเหลือเอสเอ็มอี ต่อจากนี้ไป
จากการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจแต่ละภาคส่วน ในข่วงครึ่งปีหลัง กับเม็ดเงินที่รัฐบาลใส่เข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจตั้งแต่ช่วงโควิดจนถึงปัจจุบันราว 5 แสนล้านบาทนั้น โดยมาตรการล่าสุดก็อาจจะทำให้ GDP ติดลบน้อยลง แต่ทาง KKP คงยืนคาดการณ์เดิมไว้ที่ -9%ซึ่งใกล้เคียงกับ ธปท. ที่หดตัว -8.1% ส่วนศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดปีนี้หดตัวถึง 2 digi หรือ -10% เพราะมองว่าครึ่งปีหลังแย่กว่าครึ่งปีแรก ซึ่งคงต้องติดตามสถานการณ์จากนี้กันต่อไป
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก