เปิดงบแบงก์ชาติ ปี'62 ขาดทุนทางบัญชี 3 แสนลบ. เหตุบาทแข็งโป๊ก
เมื่อวันที่ 22 เม.ย.2563 รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยงบการเงินของบัญชี ธปท. ในปี 2562 ว่า เงินสำรองระหว่างประเทศ สิ้นปี 2562 เพิ่มขึ้นเป็น 2.59 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2562 จาก 2.39 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2561 จากการที่ ธปท. เข้าดูแลเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้การบริหารเงินสำรองระหว่างประเทศ ของธปท. มุ่งรักษามูลค่าในรูปเงินตราต่างประเทศเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจไทยมีเงินสำรองระหว่างประเทศเพียงพอและพร้อมใช้ โดยกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคง และกระจายความเสี่ยงทั้งในรูปของสินทรัพย์และสกุลเงิน
รายงานข่าวธปท.ระบุว่า บัญชี ธปท.ในปี 2562 มีผลขาดทุนรวม 3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ขาดทุน 1.53 แสนล้านบาท และขาดทุนสะสมกว่า 1.06 ล้านล้านบาท โดยผลการขาดทุนปี 2562 สาเหตุหลักจาก 1.การขาดทุนทางบัญชีจากการตีราคาสินทรัพย์ต่างประเทศ (valuation หรือ unrealized loss) ให้อยู่ในสกุลเงินบาท โดยขาดทุนสุทธิ 1.88 แสนล้านบาท เนื่องจากเงินบาทสิ้นปี 2562 อยู่ที่ 30.1 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้น 7.62% เมื่อเทียบปีก่อนหน้าที่ 32.4 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
2.ผลตอบแทนในสกุลเงินต่างประเทศเป็นบวกและสูงกว่าอัตราผลตอบแทนอ้างอิง (benchmark return) และมีรายรับดอกเบี้ยสุทธิ 1.45 หมื่นล้านบาท จากการบริหารสินทรัพย์ต่างประเทศสูงกว่าภาระดอกเบี้ยจ่ายในการดำเนินนโยบายการเงิน (positive carry) เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยยังคงต่ำกว่าหลายประเทศและต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ
ขณะที่ 3. การปรับสัดส่วนการลงทุน (portfolio investment) และอื่น ๆ ขาดทุนสุทธิ 126.4 พันล้านบาท เป็นการขาดทุนที่เกิดจากการซื้อขายตราสารเพื่อปรับการลงทุนให้เหมาะสมและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์เศรษฐกิจโลก รวมถึงเพื่อกระจายความเสี่ยงและได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น โดยผลขาดทุนส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากค่าเงินบาทโน้มแข็งค่าต่อเนื่องมาตลอด ทำให้สินทรัพย์ต่างประเทศที่ซื้อมาเมื่อหลายปีก่อนมีต้นทุนในรูปของเงินบาทสูงกว่าราคาขายสินทรัพย์ดังกล่าว อย่างไรก็ดีผลการบริหารเงินสำรองระหว่างประเทศในสกุลเงินต่างประเทศเป็นบวกและสูงกว่าอัตราผลตอบแทนอ้างอิง (benchmark return) นอกจากนี้ ในปี 2562 ธปท. ปรับวิธีการบันทึกบัญชีของตราสารอนุพันธ์ที่เป็นเงินตราต่างประเทศให้สอดคล้องกับมาตรฐานบัญชีใหม่ (IFRS9) ทำให้เกิดผลขาดทุนประมาณ 7 หมื่นล้านบาท
“ผลการดำเนินงานของธปท.ที่ผ่านมา มีทั้งขาดทุนและกำไรขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทเป็นสำคัญ เช่น ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 ค่าเงินบาทอ่อนค่าจาก 30.1 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2562 เป็น 32.7 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2563 ส่งผลให้ ธปท. มีกำไรสุทธิ 365.2 พันล้านบาท ผลขาดทุนหรือกำไรที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลต่อความสามารถในการทำหน้าที่ธนาคารกลางของ ธปท. แต่อย่างใด” รายงานข่าวระบุ
ยันขาดทุนไม่มีผลต่อการทำหน้าที่ธนาคารกลาง
รายงานข่าวธปท. ระบุว่า ผลขาดทุนในปี 2562 ส่วนใหญ่เกิดจากการตีราคาสินทรัพย์ต่างประเทศให้อยู่ในสกุลเงินบาท ในขณะที่การบริหารเงินสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลาง มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะรักษามูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศให้เพียงพอไว้เป็นกันชนรองรับความผันผวนของตลาดเงิน และตลาดทุนโลก รักษาอำนาจซื้อในตลาดโลก (global purchasing power) ของระบบเศรษฐกิจ และเงินสำรองระหว่างประเทศให้มีสภาพคล่องเพียงพอพร้อมใช้ในกรณีที่จำเป็น รวมถึงหนุนหลังธนบัตรออกใช้ ดังนั้นจึงควรให้ความสำคัญกับมูลค่าของเงินสำรองระหว่างประเทศในสกุลเงินต่างประเทศ มากกว่าการตีราคากลับมาเป็นสกุลเงินบาท
ทั้งนี้ผลการศึกษาทางวิชาการจากประสบการณ์ของธนาคารกลางหลากหลายประเทศชี้ว่า หากการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางมีเหตุมีผลและได้รับความเชื่อมั่นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ผลขาดทุนของธนาคารกลางไม่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการดำเนินงานตามพันธกิจของธนาคารกลาง โดยเฉพาะถ้าผลขาดทุนส่วนใหญ่เป็นการขาดทุนทางบัญชีที่เกิดขึ้นจากการตีราคา ตามการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน
ซึ่งในกรณีของธปท. แม้งบการเงินของปีที่ผ่านมารายงานผลการดำเนินงานขาดทุน แต่ธปท.ยังคงได้รับความเชื่อมั่นจากตลาดการเงินและผู้ที่เกี่ยวข้องมาโดยต่อเนื่อง และถึงแม้ว่าในช่วงไตรมาสแรกของ ปี 2563 ค่าเงินบาทได้อ่อนค่าลงร้อยละ 8.3 เมื่อเทียบกับดอลลาร์สรอ. ส่งผลให้ธปท.มีกำไรสุทธิสูงถึง 365 พันล้านบาท ผลกำไรที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้มีผลต่อความสามารถในการทำหน้าที่ธนาคารกลางของธปท.แต่อย่างใด
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก