Jim Rogers ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการพิชิตตลาดหมี ไว้ดังนี้ คือ :
ผมได้ไปงานสังสรรค์ที่จัดที่เซนทรัลพาร์คในช่วงกลางทศวรรษที่ 70 โดยผู้จัดการการลงทุน เจฟ ทาร์และภรรยาของเขา แพ็ตซี่ เมื่อคุณนายทาร์ถามผมว่า ผมทำอาชีพอะไร ผมบอกเธอว่าผมทำงานวอลสตรีท ปฏิกิริยาแรกของเธอ คือสงสาร
"โอ้เธอคงลำบากมากสินะ" เธอพูด
ตลาดมันเลวร้ายมาก มันแย่มาหลายปีและมันก็จะแย่ต่อไป ดาวโจนส์ปิดตลาดที่ 800 จุดในปี 1964 และมันก็ยังอยู่ที่ 800 จุด ในปี 1982 โดยมีสภาวะเงินเฟ้ออย่างเป็นประวัติการณ์ที่ยาวนานถึง สิบแปดปีเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น
"ไม่หรอกครับ ทุกอย่างเป็นไปได้สวย ผม short (ขายชอร์ต) "
เธอมองผมจากหัวจรดเท้า สีหน้าเธอบ่งบอกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
ฉันเห็นอยู่ว่าเธอเตี้ย ( short ) เจ้าทึ่ม แต่มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ล่ะ
แม้ว่าผมจะเคยรู้สึกอายเรื่องความสูงห้าฟุตห้านิ้วครึ่งของผมมาก่อน แต่มันก็เป็นเรื่องที่ผ่านมานานแล้ว ความรู้สึกไม่มั่นใจมันหายไปตั้งแต่ผมเข้าไปกองทัพบก ผมเป็นคนเตี้ยที่สุดในชั้นเรียนของโรงเรียนฝึกนายทหาร ผมรู้เพราะพวกเราเข้าแถวเรียงตามลำดับไหล่เสมอ อย่างไรก็ตามผมก็ได้เป็นหัวหน้าเพราะคะแนนผมดีที่สุดในชั้น ความสำเร็จและอิสรภาพทางด้านการเงินและเรื่องความรัก ในเวลาต่อมายิ่งทำให้ความสูงของผมไม่ใช่ประเด็นไปใหญ่ ผมจำได้ว่า ผมบอกให้บิธาแฟนผมที่ไม่มั่นใจกับความสูงห้าฟุตสิบนิ้วของเธอให้ “ ยืดหลังตรง “ และไม่ต้องกังวลว่าเธอจะสูงกว่าผม ผมอธิบายให้เธอเข้าใจว่าไม่ต้องกังวลเรื่องความสูงอีกต่อไป
ในเวลานั้นเฮดจ์ฟันด์มีอยู่น้อยมาก และไม่ค่อยมีใครรู้จักการขายชอร์ตซึ่งเป็นวิธีการประกันความเสี่ยงของเฮดจ์ฟันด์วิธีหนึ่งในหลายๆวิธี คุณนายทาร์ไม่ใช่คนเดียวที่ไม่คุ้นเคยกับวิธีการในยุคนั้น คนหนึ่งในบรรดาที่เห็นแนวความคิดนี้เป็นเรื่องลึกลับนั้นคือประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เมื่อมีคนอธิบายเรื่องการขายชอร์ตให้เขาฟัง เขาก็ประณามว่ามันเป็นการไม่รักชาติ เขาไม่ไช่ผู้นำคนแรกในประวัติศาสตร์ที่มองมันเป๊นเรื่องไม่รักชาติ นโปเลียน โบนาปาร์ตจับคนชายชอร์ตเข้าคุกในความผิดฐานกบฏ
คนส่วนมากซื้อหุ้นประมาณ10 และขายมันที่ประมาณ25 ดอลลาร์ พวกเขาซื้อและขายเพื่อทำกำไร การขายชอร์ตเป็นกระบวนการย้อนกลับซึ่งกำไรถูกสร้างขึ้น คุณขายหุ้นที่ 25 แล้วค่อยซื้อคืน ที่ 10 ดอลลาร์ ทีนี้คุณจะขายได้อย่างไรถ้าคุณไม่มีมันอยู่แต่แรก คุณต้องยืมหุ้นมาจากคนอื่นก่อน ผมไปที่ เจพี มอร์แกนและยืมหุ้นพวกเขามา 100 หุ้นและขายมันที่ 25 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นราคาตลาดในปัจจุบัน ผมขายมันเพราะคิดว่าราคามันจะลง ดังนั้นเมื่อราคามันอยู่ที่ 10 ดอลลาร์ ผมก็ซื้อหุ้นมา 100หุ้น และเอาไปคืนให้ เจพี มอร์แกน ทางธนาคารก็ได้หุ้นคืน 100 หุ้น ผมก็ได้กำไร และโลกก็ดำเนินต่อไป
จริงๆแล้วการชอร์ตเป็นส่วนที่ขาดเสียไม่ได้ในตลาด มันเพิ่มสภาพคล่องและเสถียรภาพให้ตลาด ตลาดต้องการทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ถ้าไม่มีผู้ขาย ราคาก็จะพุ่งทะลุเพดาน ถ้าไม่มีผู้ซื้อราคาก็ดิ่งเหว สมมุติว่าทุกคนกำลังคลั่งกระแสดอทคอม และต่างต้องการซื้อหุ้นอย่างซิสโก้ ราคาหุ้นเพิ่มจาก 20 เป็น 80 ดอลลาร์ พวกขายชอร์ตก็เริ่มเข้ามา หุ้นอาจจะขึ้นไปที่ 90 ดอลลาร์ แต่ถ้าไม่มีคนขายชอร์ต มันจะพุ่งไปถึง 110 ดอลลาร์ ถ้าไม่มีคนขายชอร์ตอาจจะไม่มีคนขายหุ้นเลยก็ได้ สภาพคล่องก็จะไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่างจะวุ่นวายไปหมด คนขายชอร์ตเป็นคนลดความร้อนแรงของกระแสบ้าคลั่งลง
สมมุติว่าคนขายชอร์ตคาดผิด เขาก็ต้องรับผิดชอบกับการขายชอร์ตนั้น พวกเขาก็จะถูกขับออกจากตลาดไปเอง และหุ้นก็จะขึ้นไปอยู่จุดที่มันจะไปอยู่ดี แต่สมมุติว่าคนขายชอร์ตคาดถูก ( และคนขายชอร์ตมีประวัตที่ดีกว่าคนอื่นๆ ในวอลสตรีท ) หุ้นก็จะดิ่งสู่หายนะ ทุกคนก็จะแตกตื่นแย่งกันหนีตาย ทุกคนจะรีบขายให้เร็วที่สุด เมื่อหุ้นมันดิ่งพสุธามันก็ย่อมไม่มีคนซื้อ แต่ก็จะมีคนซื้อกลุ่มหนึ่งแสดงตัวออกมา นั่นคือพวกขายชอร์ต พวกเขาต้องซื้อหุ้นกลับ พวกเขาต้องหาหุ้นมาคืนตามที่ยืมไว้ พวกเขาต้องปิดสถานะชอร์ตนั้น ดังนั้นหุ้นจึงไม่ดิ่งลงไปจนถึงขั้นสุดอย่างที่มันควรจะเป็น หุ้นตัวที่น่าจะลงไปถึง 3 ดอลลาร์ ก็อาจจะลงไปถึงแค่8 ดอลลาร์
ดังนั้นคนขายชอร์ตจึงเป็นผลดีต่อตลาด พวกเขาช่วยคุณไว้จากการซื้อหุ้นแย่ๆในราคา 110 ดอลลาร์ถ้าคุณซื้อตอนมันแพงที่สุดพวกคุณก็จะได้ซื้อที่ราคา 90 ดอลลาร์แทน และเมื่อคุณทิ้งหุ้นคุณก็ขายได้ในราคา 8 ดอลลาร์ แทนที่จะเป็น 3 ดอลลาร์ เพราะมีคนขายชอร์ต การขายชอร์ตมียาวนานกว่า สี่ร้อยปี เพราะมันได้พิสูจน์คุณค่าของตัวมันเองแล้ว จากการถูกทดสอบมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าในตลาด
การขายชอร์ตก็ยังมีประโยชน์ต่อนักการเมืองผู้ที่ใช้มันเป็นแพะรับบาปมาหลายร้อยปี เวลาสถาณการณ์ย่ำแย่พวกเขาก็โทษนักเก็งกำไรผู้ชั่วร้ายได้ เมื่อตลาดหุ้นตกจาก 1,000 มาที่ จุด 500 และผู้คนต่างตกงานและล้มละลาย กันทุกหนทุกแห่ง ไม่มีนักการเมืองคนไหนจะออกมาบอกว่า โอ้พระเจ้า ผมทำพลาดไปแล้ว ผมจะขอลาออก ไม่ มันเป็นความผิดของคนขายชอร์ต ผู้ชั่วร้ายแห่งวอลสตรีท
เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าผมขายชอร์ตบริษัทให้สินเชื่อที่อยู่อาศัย แฟนนีเม จากการให้สัมภาษณ์ของผมทาง CNBC ในปี 2008 ผมพูดเรื่องนี้มาหนึ่งถึงสองปีแล้ว แฟนนีเมเป็นเรื่องหลอกลวง และกำลังจะล่มสลาย ผมได้เขียนไว้ในหนังสือ โภคภัณฑ์ร้อนแรง ( Hot Commodities ) ที่ตีพิมพ์มาสี่ปีก่อนหน้านั้น ทั้งแฟนนีเม และเฟรดดีแมค เป็นเรื่องอื้อฉาวที่รอเกิดขึ้น ดังนั้นในปี 2008 หุ้นแฟนนีเมจึงลงมาจาก 60 ดอลลาร์มาเป็นล้มละลาย ในขณะที่ผมให้สัมภาษณ์ หุ้นมันลงมาที่ 20 ดอลลาร์ และ ชารอน เอ็ปเปอร์สัน ผู้ดำเนินรายการที่สัมภาษณ์ผม ให้ความเห็นว่า การล่มสลายนี้เป็นความผิดของผม ผมต้องบอกให้คุณทราบว่าเธอเป็นผู้สื่อข่าวช่องธุรกิจ
"ฟังนะ" ผมบอกคุณเอ็ปเปอร์สันอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ "ถ้าคุณคิดจริงๆว่าแฟนนีเมจะพังลงเพราะคนขายชอร์ต คุณควรจะไปหางานอื่นทำได้แล้ว"
การขาดความเข้าใจเช่นนี้เป็นสิ่งที่ผมคาดว่าจะพบในคนทั่วไป อย่างที่ผมบอกไว้ว่าไม่ใช่ทุกคนจะคุ้นเคยกับการขายชอร์ต แต่กระนั้นผมก็ยังประหลาดใจในความไม่รู้ของนักข่าวโทรทัศน์ช่องทางธุรกิจคนนี้ คนขายชอร์ตไม่ใช่สาเหตุ พวกเขาเป็นเพียงผู้ส่งสาร และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเปิดโปงกลฉ้อฉลขนาดใหญ่ออกมาอย่างมากมาย บริษัทมิจฉาชีพอย่างเอนรอนเป็นหนึ่งในเรื่องอื้อฉาวเรื่องใหญ่ที่พวกเล่นขาลงเป็นผู้เปิดโปง
การขาดชอร์ตไม่เหมาะกับผู้เล่นทั่วไปในวอลสตรีท มันต้องใช้ความรู้ที่มากขึ้น ต้องมีการทำการบ้านอย่างจริงจังขึ้น คนที่มีข้อมูลพอถึงควรเล่น หุ้นที่คุณซื้อที่ 10 ดอลลาร์สามารถลงไปได้ต่ำที่สุดที่ศูนย์เท่านั้น คุณขาดทุนได้มากที่สุดแค่ 100 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่คุณขายชอร์ตที่ 10 ดอลลาร์ ความสูญเสียของคุณโดยทฤษฎีแล้วไม่มีขีดจำกัด หุ้นอาจจะขึ้นไปที่ 20, 30, 40, 50 หรืออาจจะไปถึง 1,000 ดอลลาร์ การขายชอร์ตจะทำร้ายคุณได้อย่างสาหัสและอย่างรวดเร็วถ้าคุณพลาด
ผมเล่นจนเจ๊งไปตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่ทำอาชีพนี้
ในปี 1970 ผมได้ข้อสรุปว่าตลาดหุ้นกำลังจะพังลง ผมจึงเอาเงินของผมทั้งหมดออกมาและซื้อสัญญาพุท (Put) ซึ่งเป็นสัญญาณออปชั่น (Option) ให้ผมมีสิทธิ์ในการขายที่ราคาที่กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนด และจำกัดความเสี่ยงของผมในแง่ที่การขายชอร์ตให้ผมไม่ได้ ผู้ซื้อต้องจ่ายค่าพรีเมียมในการทำสัญญา แต่ผู้ซื้อก็จะมีทางเลือกมากขึ้นถ้าสิ่งต่างๆ มันเลวร้ายลง ห้าเดือนต่อมาตลาดก็ล่มลง บริษัทที่อยู่มาหลายสิบปีต่างพากันเลิกกิจการ มันเป็นการล่มสลายที่เลวร้ายที่สุดตั้งแต่ปี 1937
ในวันที่ตลาดถึงจุดต่ำสุดผมก็ขายสัญญาพุทออปชั่น หรือคุณจะเรียกว่าผมขายทำกำไรก็ได้ และเงินผมก็เพิ่มขึ้นเป็นสามเท่า
ในตอนนั้นผมเป็นเด็กขี้มูกเกรอะกรังผู้ที่คิดว่าตัวเองรู้กำลังทำอะไรอยู่ ผมคิดว่า เอาละ สิ่งที่ผมจะทำต่อไปคือนั่งรอ เพราะตลาดกำลังจะกลับไปพุ่งทะยานขึ้น ผมไม่รู้มีปัญญาที่ล้ำไปกว่าอายุของผมหรือเปล่า แต่ตลาดก็พุ่งขึ้นจริงๆ และหลังจากรออยู่สองเดือนผมก็เอาเงินที่ผมทำได้ทั้งหมดจากคราวก่อนมาชอร์ต ผมตัดสินใจว่าจะไม่จ่ายค่าพรีเมียมอีกต่อไป และผมจะขายชอร์ตอย่างเดียว ผมเลือกเล่นหุ้นหกบริษัทโดยคาดว่าตลาดจะร่วงลงอีกครั้งและในอีกสองเดือนต่อมาผมก็หมดตัว
ผมถูกบังคับให้ซื้อหุ้นคืนไปชอร์ตขณะที่ราคาหุ้นของบริษัทที่ผมซื้อไว้มันขึ้นไปเรื่อยๆ ผมต้องทำอย่างนั้นเพราะผมไม่มีเงินอยู่ในบัญชีโบรกเกอร์มากพอที่จะรออยู่จนราคาเริ่มตก ผมไม่มีสายป่านที่ยาวพอในการขายชอร์ต ผมไม่มีทรัพยากรมากพอที่ยืนระยะได้ ผมไม่สามารถพูดได้ว่า โอเค พวกเขาผิดและผมถูก ผมต้องเปลี่ยนทิศทางการเล่น (reverse position) และผมหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง
ผมถูกบังคับให้ซื้อหุ้นคืนก่อนที่ผมจะเป็นหนี้ สิ่งที่แน่นอนสิ่งหนึ่งในวอลสตรีทคือ ถ้าคุณเล่นมาร์จิ้น โบรกเกอร์จะเปลี่ยนทิศทางการเล่นของคุณก่อนที่คุณจะเป็นหนี้ พวกเขาจะต้องแน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ขาดทุน
ภายในสองถึงสามปีต่อมา ทั้งหกบริษัทที่ผมขายชอร์ตไว้ต่างกันล้มละลาย และผมก็เป็นอัจฉริยะ นั่นทำให้ผมเข้าใจถึงคำพูดที่ว่า "ถ้าคุณฉลาดนัก ทำไมคุณถึงไม่รวย"
นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนอย่างยิ่งในการเป็นคนฉลาดและไม่รวย ผมฉลาดมากจนผมต้องหมดตัว ผมไม่รู้ว่าตลาดสามารถทำอะไรได้บ้าง
ผมเรียนรู้ว่าที่วอลสตรีทไม่มีคำกล่าวไหนจะจริงไปกว่าคำกล่าวที่มีคนอ้างผิดๆ ว่ามาจากจอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ว่า "ตลาดจะคงความไม่มีเหตุผลได้นานกว่าที่คุณจะยังคงมีสภาพคล่องตัวอยู่"
เคนส์เป็นคนฉลาดและรวย เขาเป็นหนึ่งในสุดยอดนักเก็งกำไรในตลาดหุ้นตั้งแต่เริ่มมีมา เขารู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ เขาเอาเงินส่วนตัวของเขาร่วมกับกองทุนของวิทยาลัยคิงส์ที่เคมบริดจ์มาเก็งกำไรเกือบเต็มเวลาขณะที่เขาอยู่ที่นั่นและเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างสูง เมื่อเสียชีวิตในปี 1946 เขามีทรัพย์สินมากกว่าครึ่งล้านปอนด์ ซึ่งเทียบเท่ากับ 16 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน
ผมก็ฉลาดและหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างจากความฉลาดนั้น
มันเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามาก มันสอนให้ผมรู้ว่าผมรู้เรื่องตลาดน้อยแค่ไหน และมันสอนให้ผมรู้จักตัวผมดีขึ้นอีกมาก ต่อมาผมได้แบ่งปันบทเรียนนี้ให้นักศึกษาฟังขณะที่ผมสอนที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียเป็นช่วงสั้นๆ ผมบอกพวกเขาว่า ไม่ต้องกังวลว่าจะล้มเหลว ไม่ต้องกังวลว่าคุณจะทำผิดพลาดในชีวิตนี้ มันเป็นเรื่องที่ดีที่จะเสียเงิน ที่จะหมดตัวสักครั้งหรือสองครั้งก็ยิ่งดี แต่ให้รีบทำเสียแต่เนิ่นๆ ถ้าคุณจะทำอย่างนั้น มันดีกว่าคุณเจ๊งด้วยเงิน 20,000 ดอลลาร์ แทนที่จะเป็นเงิน 20 ล้าน ดอลลาร์ ทำแต่เนิ่นๆและมันไม่ทำให้โลกของคุณแตกสลายลงหรอก
การสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างเป็นประสบการณ์ที่มีประโยชน์ เพราะมันสอนให้คุณรู้ว่าคุณยังไม่รู้อะไรอีกมาก และถ้าคุณฟื้นขึ้นมาจากความล้มเหลวสักครั้งสองครั้ง คุณจะมีโอกาสสูงในการประสบความสำเร็จมากขึ้นในระยะยาว มีเรื่องราวนับไม่ถ้วนของคนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงที่เคยล้มเหลวมาหนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง และกลับขึ้นมายืนใหม่ ไมค์ บลูมเบิร์กถูกไล่ออกจากซาโลมอน บราเธอร์สและนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับเขา เขาเริ่มบริษัทส่งมอบข้อมูลข่าวสารของเขาเองและกลายเป็นคนที่รวยที่สุดคนหนึ่งในโลก ไม่มีอะไรผิดในการล้มเหลวถ้าคุณเรียนรู้จากความผิดพลาดของคุณ
หนึ่งในความผิดพลาดที่เห็นได้ชัดของผมในการขายชอร์ตกับหุ้นหกบริษัทดังกล่าวคือ ผมทึกทักเอาว่าทุกคนรู้อย่างที่ผมรู้ ผมเข้าทำเร็วเกินไป ตั้งแต่นั้นมาผมจึงเรียนรู้ที่จะรอ หรืออย่างน้อยก็พยายามรอ แต่ความบ้าคลั่งอาจจะยกระดับไปถึงขั้นที่คุณนึกไม่ถึงเลยทีเดียว และ ผมได้ค้นพบแล้วว่าผมไม่เก่งนักในการคาดคะเนถึงเวลาที่คนจะตระหนักว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันบ้า
ที่ควอนตัม โซรอสและผมทำกับสิ่งที่ขัดกับความเชื่อของคนทั่วไป เราขายชอร์ตกับหุ้นตัวใหญ่และหุ้นเติบโตที่พิจารณาแล้วมีเสถียรภาพสูงมากซึ่งรู้จักกันในชื่อ “ ห้าสิบกินดิบ ( Nifty Fifty ) ” หุ้นบางตัวขายกันที่หนึ่งร้อยเท่าของกำไรหรือสองร้อยเท่าของกำไร ทุกธนาคาร ทุกกองทุนรวมต่างซื้อหุ้นพวกนั้น เราขายชอร์ตเงินปอนด์ ใน ปี 1980 ทองคำกาลังขึ้นมาตลอด เราก็ขายชอร์ตทองคำ ช่วงนั้นเป็นปีที่น่าตื่นเต้นและรุ่งเรืองของเรา เราได้กำไรทุกปี และนั่นเป็นปีของตลาดหมี ช่วงที่ทุกคนคิดว่าวอลสตรีทเป็นปีที่เลวร้ายมาก ใน ปี ค.ศ 1980 ตอนปลายทศวรรษที่ดัชนีเอสแอนด์พีห้าร้อยเพิ่มขึ้น 47 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งพอๆ กับเงินที่เพิ่มขึ้นในบัญชีออมทรัพย์ของคุณแม่ของผมในธนาคารท้องถิ่น พอร์ตโฟลิโอของควอนตัมฟันด์เพิ่มขึ้น 4,200 เปอร์เซ็นต์
ผู้โพสต์ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมดังนี้คือ :
ควอนตัมฟันด์ก่อตั้งเมื่อ ปี ค.ศ 1973 ด้วยการบริหารเงินเริ่มต้นที่ 12 ล้าน USD ต่อมา ปี ค.ศ 1980 บริหารเงิน 250 ล้าน USD
ปัจจุบัน Quantum Fund เปลี่ยนชื่อเป็น Soros Fund Management เป็น Hedge Fund ที่บริหารและถือหุ้นใหญ่โดย George Soros และ ทำให้ George Soros เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 190 ของโลกด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 8,000 ล้าน USD
หมายเหตุ : 1) ที่มาจาก Street Smarts โดย Jim Rogers
2) โปรดติดตามรายละเอียดการลงทุนใน Set 50 Index Futures ในระยะยาวได้ใน longtunbysak.blogspot.com