มองสุนทรพจน์ ทรัมป์ ยังไม่เคลียร์ผลกระทบพอร์ตลงทุน
“Fund view” วันนี้ พามาติดตามการวิเคราะห์นโยบายจากสุนทรพจน์ในการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ตามมุมมองผู้จัดการกองทุน ที่บอกว่าเป็นทั้งการสร้างความหวัง และเป็นความเสี่ยงกดดันการลงทุนในเวลาเดียวกัน
สุนทรพจน์ของ “ทรัมป์” ในพิธีสาบานตน เพื่อเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ ดูยังไม่เห็นความชัดเจนมากนัก โดยเฉพาะนโยบายที่เป็นความคาดหวังของตลาด ทำให้เวลานี้ ความเสี่ยงของ “ทรัมป์” จึงยังคงเป็นความเสี่ยงที่นักลงทุน ต้องติดตามพัฒนาการต่อไปอย่างใกล้ชิด
บลจ.กสิกรไทย วิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นจากคำพูดของ “ทรัมป์” ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้ :
ประเด็นแรก คือ ท่าทีชัดเจนขึ้นในการปฏิรูประบบการรักษาพยาบาล โดยระบุว่าโครงการประกันสุขภาพ น่าจะมีการปรับราคายาลง จากระดับปัจจุบันที่มองว่าแพงเกินไป ซึ่งประเด็นดังกล่าว นับว่าเป็นเรื่องใหม่ เนื่องจากนักลงทุนคิดว่าทรัมป์จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการปฏิรูปราคายา ด้วยเหตุนี้ หุ้นกลุ่มสุขภาพทั่วโลกจึงปรับตัวลงประมาณ 1% (ระหว่าง 10 – 11 ม.ค. 2560) และกระทบต่อกองทุนหุ้นสุขภาพทั่วโลกที่มีสัดส่วนในหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์สูง
ส่วนประเด็นของการยกเลิก “โอบามาแคร์” มีข้อมูลจากการสำรวจของ “Allianz Global Investors” ต่อโรงพยาบาล 25 แห่งในสหรัฐฯ พบว่า ผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายในการลงทุน ไม่น่าจะมากนักในปีนี้ เนื่องจากแผนใช้จ่ายเงินลงทุนได้ผ่านการอนุมัติมาก่อนหน้าแล้ว ขณะที่กว่า 25% ของโรงพยาบาลที่ทำแบบสำรวจ ก็มีแผนการจะเพิ่มค่าใช้จ่ายในการลงทุนในปีนี้ด้วย
ดังนั้น ความกังวลว่าเมื่อยกเลิก “โอบามาแคร์” อาจทำให้เม็ดเงินลงทุนด้านสุขภาพหายไป อาจจะน้อยลง อีกทั้งค่าใช้จ่ายเงินสนับสนุนจากทางภาครัฐที่จะลดลงกว่า 1.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วง 10 ปีข้างหน้า ตามการคาดการณ์ของ HSBC ก็น่าจะทำให้แรงกดดันในหุ้นกลุ่มสุขภาพลดน้อยลง
ประเด็นที่สอง คือ นโยบายการคลัง ที่ทรัมป์จะมีการปฏิรูปภาษีและกระตุ้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภาคครัวเรือนและการลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งในส่วนนี้น่าจะเป็นแรงหนุนหลักของเศรษฐกิจในอีก 2 -3 ปีข้างหน้า
“Societe Generale” คาดการณ์ว่านโยบายการคลังของทรัมป์จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโต 2 – 2.5% ในช่วงปี 2560 – 2561 ภายใต้นโยบายงบประมาณขาดดุลที่อาจจะเพิ่มขึ้น 3.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในอีก 10 ปีข้างหน้า เช่นเดียวกับ “Fitch Rating” ที่มองว่าการปรับลดภาษีจะทำให้รายได้ของรัฐบาลลดลง 6.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในอีก 10 ปี
ประเด็นที่สาม คือ นโยบายทางการค้า ที่ “ทรัมป์” เน้นว่า “อเมริกาต้องมาก่อน” หรือ America Comes First โดยได้ส่งสัญญาณจะดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้า ซึ่งมี “จีน” เป็นเป้าหมายสำคัญ โดยจะมุ่งตั้งแต่การจัดเก็บภาษีนำเข้า ภาษีต่างประเทศที่เป็นฐานที่ตั้งผลิตสินค้าสหรัฐฯ
หรืออย่างการแก้ไขข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) รวมถึงการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกสูงถึง 35% ก็เป็นประเด็นที่ทั่วโลกจับตาเช่นกัน เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง อาจเป็นผลลบในวงกว้างไปยังประเทศในกลุ่มอเมริกาใต้ ที่กำลังอยู่ในช่วงเศรษฐกิจเปราะบาง อย่างเช่น เวเนซุเอล่าและบราซิล เป็นต้น
อย่างไรก็ดี บลจ.กสิกรไทย ระบุว่า นโยบายที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก ว่าสิ่งที่ทรัมป์ได้กล่าวไว้ จะสามารถดำเนินการได้จริงเพียงใด? ดังนั้น ในระหว่างที่รอให้นโยบายต่างๆ ให้มีความชัดเจนมากขึ้น ผู้ลงทุนเองก็ควรต้องเตรียมรับมือด้วยการปรับพอร์ตการลงทุน เพื่อให้พอร์ตที่อาจจะเกี่ยวข้องโดยตรง หรือโดยอ้อม พ้นจากความผันผวนและสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้
**********************************
ทีม Business & Finance , Money Channel