ห้องเม่าปีกเหล็ก

ตลาดหุ้น "1620 จุด" ยังเอาอยู่??

โดย ROE
เผยแพร่ :
63 views

ตลาดหุ้น "1620 จุด" ยังเอาอยู่??

SET ปิดที่ 1,638.65 จุด เมื่อวันศุกร์ที่ 29 มีนาคม 2562 ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 39,657.78 ล้านบาท โดยตลาดยังรอความชัดเจนทางด้านกลางเมือง ซึ่งอยู่ระหว่างความสับสนในการแย่งจัดตั้งรัฐบาลของพรรคการเมืองทั้ง 2 ฟาก

ในช่วงหลังเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ระหว่างหาพรรคการเมืองที่สามารถรวบรวมเสียง สส. ให้เพียงพอสำหรับการจัดตั้งรัฐบาล โดยมีแกนนำเป็นสองพรรคใหญ่ที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดได้แก่ ฟาก “พรรคเพื่อไทย” และอีกฟากหนึ่งคือ “พรรคพลังประชารัฐ” ในขณะที่ กกต. ล่าสุดได้ประกาศคะแนนเสียงในแต่ละพรรคครบ 100% เป็นที่เรียบร้อย แต่ยังไม่ประกาศรับรอง สส. ในแต่ละพรรคอย่างเป็นทางการ ซึ่งส่งผลให้แต่ละพรรคยังไม่สามารถทราบจำนวน สส. อย่างแท้จริง

.

ท่ามกลางความอึมครึม และไม่ชัดเจนในสถาณการณ์การเมืองดังกล่าว ส่งผลให้ตลาดไม่ได้ตอบสนองเชิงบวกมากนัก ออกแนวเป็นลักษณะ Sideway เพื่อรอความชัดเจนความคืบหน้าการจัดตั้งรัฐบาลอีกทีหนึ่ง

.

โดยดูจากกราฟแล้วแนวรับแรกที่ต้องเอาอยู่คือ 1,620 จุด หากหลุดต่ำกว่านี้อาจจะไหลไปที่ 1,600 จุดได้ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตุว่าช่วงก่อนการเลือกตั้งต่างชาติได้เข้ามาซื้อหุ้นไทยจนทำให้ดัชนีเขียวไปหลายวัน แต่หลังจากการเลือกตั้งแล้วกลับขายทำกำไรกลับบ้านเพื่อลดความเสี่ยง.... นี่เป็นการบ่งบอกว่า ตลาดหุ้นมักไม่ชอบความไม่ชอบชัดเจน โดยเฉพาะปัจจัยด้านการเมืองที่กดคอยกดดันตลาดหุ้นมาเป็นเวลานาน

.

อย่างไรก็ตาม “ในวิกฤตมักมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ” โดยให้นักลงทุนได้เลือกช็อปปิ้งหุ้นพื้นฐาน คุณภาพดี ที่อาจจะได้รับอานิสงค์หลังราคาย่อตัวลงมา และอาจจะได้รับประโยชน์เพิ่มมากขึ้นหลังที่มีรัฐบาลได้จัดตั้งขึ้นแล้ว

.

นโยบายพรรคใหญ่ๆ ทั้งหลาย ต่างให้ความสำคัญกับค่าจ่างแรงงานขั้นต่ำที่มีนโยบายให้ปรับตัวสูงขึ้น โดยบางพรรคให้ปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำต่อคนสูงถึง 425 บาท/วัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อคนรากหญ้าที่จะทำให้มีกำลังซื้อมากยิ่งขึ้น ดังนั้น หุ้นในกลุ่มบริโภคจึงน่าสนใจ โดยเฉพาะ CPALL ซึ่งมีแผนจะเพิ่มจำนวนสาขา Seven Eleven อย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่มีอยู่แล้วทั่วประเทศกว่าหนึ่งหมื่นสาขา เป็นหนึ่งหมื่นสามพันสาขาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า อีกทั้ง ราคาของ CPALL ยังได้ปรับตัวย่อลงมาปิดที่ 74.75  บาท จากเดิมเคยขึ้นไปถึงเกือบแตะ 80 บาท จึงเป็นโอกาสให้นักลงทุนระยะยาวได้เข้าซื้อเพิ่มมากขึ้น

.

นอกจากนี้ กลุ่มท่องเที่ยวก็มีความน่าสนใจ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า การท่องเที่ยวยังมีโอกาสเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหลังที่มีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเป็นการสร้างเสถียรภาพ และอาจจะทำให้มีนโยบายที่กระตุ้นการท่องเที่ยวที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อหวังดึงนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย หุ้นที่หน้าสนใจคือ AOT ซึ่งจะได้รับอานิสงค์จากการเติบโตในธุรกิจท่องเที่ยวไปเต็มๆ ทั้งนี้ ยังต้องมีปัจจัยที่น่าติดตามได้แก่ การเปิดประมูล Duty Free และการสร้างอาคารผู้โดยสารใหม่เพื่อรองรับการเติบโตของนักท่องเที่ยว

.

นอกจากนั้น หุ้นสายการบินเป็นอีกลุ่มที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะ AAV เนื่องจากหุ้นตัวนี้ มีผลประกอบการที่โดดเด่นกว่าบริษัทอื่นในธุรกิจเดียวกัน อีกทั้ง ปัจจัยที่ราคาน้ำมันซึ่งถือว่าเป็นต้นทุนหลักของธุรกิจนี้ปรับตัวลดลง จึงส่งผลดีต่อผลประกอบการที่จะประกาศขึ้นนี้ได้

.

และที่ขาดไม่ได้จะเป็นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ถึงแม้ว่ามีโครงการที่ดำเนินการต่อเนื่องจากแผนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ของรัฐบาลปัจจุบัน แต่ก็ยังมีอีกหลายโครงการที่ชะลอเพื่อรอความชัดเจนหลังมีรัฐบาลใหม่ ดังนั้น หากมีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว โครงการต่างๆ จะทยอยก่อสร้างมากขึ้น ส่งผลดีต่อกลุ่มรับเหมา โดยหุ้นที่น่าสนใจคือ SEAFCO ด้วยผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง บวกกับ Backlog ที่มีอยู่ในมือและคาดว่าจะประมูลเพิ่มอีกในอนาคต จึงเป็นหุ้นที่น่าจับตาในกลุ่มนี้


ROE