เศรษฐกิจโลก 2022 : ยุคข้าวยากหมากแพง
หลังจากต่อสู้กับโรคระบาดโควิด-19 อย่างทุลักทุเล สูญเสียชีวิตพลเมืองและเศรษฐกิจเสียหายสาหัส ในที่สุดประเทศต่างๆ ก็พยายามคลี่คลายวิกฤติให้ทุเลาเบาบางลง ด้วยการระดมฉีดวัคซีนให้มากที่สุด เพื่อรักษาชีวิตประชาชน รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ในกลับคืนสู่สภาพปกติโดยเร็ว
สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ส่งสัญญาณค่อยๆ กระเตื้องดีขึ้นนับตั้งแต่กลางปีที่แล้ว หลายประเทศสามารถกลับมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การค้า และ การลงทุน อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจน่าจะดำเนินไปด้วยดีต่อเนื่องมายังปี 2022 ประเด็นที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือ ปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทาน โดยปริมาณชิ้นส่วนประกอบและวัตถุดิบ ไม่เพียงพอต่อความต้องการของอุตสาหกรรมการผลิตแขนงต่างๆ ทั่วโลก ประกอบกับ การขนส่งก็ยังไม่เปิดบริการอย่างเต็มที่ เพราะปัญหาการขาดแคลนพนักงาน
เหตุการณ์ขลุกขลักเหล่านี้ ได้ส่งผลกระทบให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไม่ราบรื่นในเบื้องต้น จนกว่าปริมาณชิ้นส่วนประกอบและวัตถุดิบ แรงงาน รวมถึงการขนส่งสินค้า จะกลับสู่วัฏจักรปกติเหมือนเดิม ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นช่วงครึ่งหลังของปี 2022
ดังนั้น ในช่วงที่ปริมาณการผลิตสินค้าออกสู่ตลาดยังติดขัด เดินหน้าไม่เต็มที่เพราะยังขาดแคลนชิ้นส่วนประกอบและวัตถุดิบ รวมถึงการขาดแคลนแรงงาน จึงทำให้ระดับราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากผู้บริโภคทั้งหลาย เริ่มกลับมาใช้จ่ายหลังจากต้องกักตัวจากโควิด แต่ปรากฏว่าปริมาณสินค้าในตลาด ป้อนความต้องการไม่เพียงพอ จึงเป็นเรื่องปกติที่ราคาสินค้าจะเพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์คาดกันว่า สถานการณ์สินค้าแพง น่าจะคลี่คลายไปเอง เมื่ออุปทานด้านชิ้นส่วนประกอบและวัตถุดิบต่างๆ กลับสู่กระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมทั้งหลายอย่างเต็มที่ อีกทั้ง แรงงานทยอยกลับสู่ตลาดแรงงานเหมือนเดิม
น่าเสียดาย เศรษฐกิจโลก 2022 ยังไม่ทันพ้นจากปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่มีส่วนทำให้ราคาสินค้าในตลาดโลกโน้มสูงขึ้น ปรากฏว่าสงครามรัสเซียบุกยูเครน ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ซ้ำเติมเพิ่มความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อโลกอย่างเห็นได้ชัด
การรุกรานยูเครนของรัสเซียไม่ได้เหนือความคาดหมายของบรรดากูรูทางการทหารเท่าใดนัก ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ประเมินว่า การสู้รบไม่น่ายืดเยื้อ เนื่องจากรัสเซียมีความพร้อมทางด้านทหารและอาวุธมากกว่ายูเครน แต่ปรากฏว่า สถานการณ์สงครามกลับกินเวลานานกว่าที่คาดกันไว้ ประกอบกับ สหรัฐฯและชาติพันธมิตรพร้อมใจกันใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจรัสเซียรุนแรงอย่างไม่เคยมาก่อน ทั้งด้านการค้า การลงทุน การเงินการธนาคาร เทคโนโลยี รวมถึงประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ประธานาธิบดี Vladimir Putin พร้อมเครือญาติและพวกพ้อง โดยพยายามโดดเดี่ยวรัสเซียทุกวิถีทาง
การลงโทษและบีบคั้นรัสเซีย โดยสร้างความปั่นป่วนเสียหายทางเศรษฐกิจ เพื่อจะได้ยุติสงครามโดยเร็ว หากมองผิวเผินจะพบว่า เศรษฐกิจรัสเซียที่โดนคว่ำบาตร ไม่น่าสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมากนัก เพราะรัสเซียมีมูลค่าทางเศรษฐกิจคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 0.2% ต่อเศรษฐกิจโลก และจัดอยู่ในข่ายประเทศรายได้ปานกลางลงไป จำนวนประชากรประมาณ 146 ล้านคน ถือว่าเป็นตลาดขนาดเล็กเมื่อเทียบกับตลาดยุโรปทั้งหมด
ดังนั้น ผู้ส่งออกรัสเซียน่าจะพึ่งพาหรือได้ประโยชน์จากตลาดยุโรปมากกว่าที่ผู้ส่งออกยุโรปจะได้รับจากตลาดรัสเซีย ซึ่ง Goldman Sachs ธนาคารชั้นนำสหรัฐฯ ประเมินว่า ผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ของยุโรป จะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจรัสเซียเสียหาย เพียงแค่ 0.1% เท่านั้น
แต่เมื่อพิจารณาอย่างจริงจัง จะพบว่า ถึงแม้เศรษฐกิจรัสเซียอาจไม่มีอิทธิพลมากมายต่อยุโรป หรือเศรษฐกิจโลก แต่บทบาทของรัสเซียในฐานะประเทศที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมีค่ามหาศาล กลับกำลังสร้างความวิตกกังวลให้แก่เศรษฐกิจโลกอย่างมหันต์ เนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจรัสเซีย ได้ส่งผลให้ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ผันผวนรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพลังงาน แร่ธาตุและโลหะมีค่าต่างๆ รวมถึงธัญพืชหลากหลาย เริ่มเกิดปัญหาขาดแคลน กักตุน และราคาถีบตัวสูง จนกดดันความหวาดกลัวเรื่องเงินเฟ้อทวีคูณ
พลังงาน-อาหาร...ราคาทะยานลิ่ว
รัสเซีย มีฐานะเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลกในแง่ก๊าซธรรมชาติ, อันดับ 2 ในแง่น้ำมัน และ อันดับ 3 ในแง่ถ่านหิน ประเทศในยุโรปพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากรัสเซียเป็นจำนวนมาก ถึงแม้สหรัฐฯจะไม่ได้มีการนำเข้ากลุ่มพลังงานจากรัสเซียมากมาย แต่ก็มีการนำเข้าแร่ยูเรเนียมจากรัสเซีย ประมาณครึ่งหนึ่งของการนำเข้าแร่ดังกล่าวทั้งหมดของสหรัฐฯ
นอกจากนี้ รัสเซีย ยังเป็นประเทศที่ป้อนแร่อะลูมิเนียมและทองแดง คิดเป็นสัดส่วนราว 1 ใน 10 ของปริมาณแร่ดังกล่าวสู่ตลาดโลก รวมถึงแร่นิกเกิลและพาลาเดียมที่มีความสำคัญอย่างมากในวงการอุตสาหกรรมรถยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ล้วนผลิตและส่งออกจากรัสเซียเป็นสำคัญ
ด้วยเหตุนี้ ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์จึงปั่นป่วนเมื่อสหรัฐฯและชาติพันธมิตร ประกาศคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจรัสเซีย โดยเฉพาะเมื่อมีการประกาศเพิ่มเติมเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยสหรัฐฯและอังกฤษ จะยุติการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย เพื่อให้การใช้มาตรการแซงชั่นเข้มข้นมากขึ้น ปรากฏว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งเหนือระดับ 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลทันที ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 26% จากช่วงต้นปี 2022 และนับเป็นราคาผันผวนสุดนับตั้งแต่สงครามอ่าวเปอร์เซียในช่วงต้นทศวรรษ 1990
ยิ่งไปกว่านั้น ราคาก๊าซธรรมชาติในยุโรป ก็ดีดตัวทะยานสูงกว่า 3 เท่า หลังจากการประกาศของสหรัฐฯและอังกฤษ เนื่องจากเกรงว่าการใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียจะขยายวงกว้างและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งตลาดเกรงว่าสงครามรัสเซียกับยูเครนอาจสร้างความเสียหายต่อท่อส่งก๊าซจากรัสเซียมายังยุโรปอีกด้วย
ขณะเดียวกัน การซื้อขายแร่นิกเกิลในตลาดลอนดอน ก็มีการหยุดชะงักเป็นครั้งคราว เมื่อราคานิกเกิลแกว่งสูงอย่างหนัก เพราะความวิตกกังวลจากมาตรการแซงชั่นรัสเซีย ถึงแม้สถานการณ์ราคาพลังงานและแร่ธาตุสำคัญจะค่อยๆ ปรับตัวลดลงบ้าง แต่ก็ยังเคลื่อนไหวอยู่ในระดับสูง ตราบใดวิกฤติยูเครนกับรัสเซียยังร้อนระอุ และการใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย ยังส่อเค้าร้อนแรงพอๆ กัน
ความจริง นักวิเคราะห์ในวงการการค้าสินค้าโภคภัณฑ์ ได้เคยรายงานก่อนหน้าการสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครนแล้วว่า สถานการณ์ตลาดค่อนข้างตึงตัว ดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มสูงมาก นับตั้งแต่ปี 1973 ดังนั้น เมื่อเกิดความไม่แน่นอนในตลาดโลก จากวิกฤติยูเครนกับรัสเซีย และการใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย ซึ่งเป็นแหล่งผลิตและส่งออกพลังงานและแร่ธาตุสำคัญ รวมถึงธัญพืชหลายชนิด ก็ย่อมเพิ่มความแปรปรวนให้แก่ตลาดและราคาสินค้าโภคภัณฑ์อย่างหนัก
ปัจจัยที่กระตุ้นแรงกดดันราคาพลังงานและแร่ธาตุก็คือ ความต้องการใช้ในตลาดโลกเพิ่มขึ้นมาก ก่อนหน้าที่จะเกิดสงครามยูเครน เพราะเศรษฐกิจโลกได้เริ่มฟื้นตัวจากโรคระบาดโควิด แต่ปริมาณการผลิตเพื่อป้อนสู่ตลาดไม่เพียงพอ รวมถึงสต๊อกพลังงานและแร่ธาตุก็ร่อยหรอลง เพราะจำเป็นต้องนำออกมาใช้ในช่วงที่รอการผลิตเดินเครื่องเต็มที่
นอกจากนี้ มาตรการคว่ำบาตรยังทำให้ปริมาณน้ำมันรัสเซีย หายไปจากตลาดโลก ยามปกติรัสเซียจะส่งออกน้ำมันราว 7-8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งการคว่ำบาตรย่อมทำให้การส่งออกน้ำมันของรัสเซียสะดุดลง เนื่องจากบริษัทลูกค้าที่เป็นชาติตะวันตกหยุดซื้อน้ำมันจากรัสเซียไว้ก่อน อีกทั้งเรือขนส่งน้ำมัน ก็ยุติการขนส่งเช่นกัน เนื่องจากสถาบันการเงินต่างๆ ไม่รับทำเรื่องประกันความเสี่ยง รวมถึง ธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับรัสเซีย ทำให้การขนส่งค้าขายน้ำมันรัสเซียมีปัญหา
ยิ่งไปกว่านั้น ท่าเรือสำคัญๆ ที่เคยเป็นแหล่งขนถ่ายน้ำมัน ก็หยุดให้บริการ เพราะเกรงภัยสงคราม โดยสรุปก็คือ ปริมาณน้ำมันจากรัสเซีย ไม่สามารถไปสู่ตลาดโลกได้ปกติ ย่อมทำให้ราคาพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เป็นที่น่าสังเกตว่า นักวิเคราะห์ได้พยายามประเมินว่า รัสเซียอาจใช้วิธีอื่นๆ เพื่อนำปริมาณพลังงานของตนออกสู่ตลาดโลก จะได้ลดแรงกดดันต่อรัสเซียเอง และราคาพลังงานโลก เช่น การปรับเส้นทางส่งออกจากยุโรปไปยังเอเชียแทน โดยใช้การส่งทางท่อ ทางรถไฟ และทางเรือ แต่ก็ล้วนไม่ค่อยได้ผลที่จะสามารถชดเชยปริมาณน้ำมันที่เคยส่งออกสู่ตลาดโลกจากที่เคยทำมา จึงเป็นสาเหตุที่ยังทำให้ราคาพลังงานโลกทรงตัวสูง
ส่วนทางด้านประเทศผู้ใช้พลังงาน ได้พยายามมองหาแหล่งอื่นแทนพลังงานรัสเซีย ก็ทำท่าว่าจะริบรี่พอๆ กัน เช่น การเจรจานำเข้าน้ำมันเพิ่มเติมจากกลุ่ม OPEC ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่ผลิตและส่งออกน้ำมันรายใหญ่สุดของโลก ก็ยังอึมครึมไม่แน่นอน และถึงแม้ OPEC จะเพิ่มปริมาณการผลิตและส่งออกได้บ้าง ก็ไม่เพียงพอที่จะชดเชยส่วนที่ขาดหายไปจากรัสเซีย
แม้แต่ในกรณีก๊าซธรรมชาติ ที่ยุโรป ซึ่งเป็นผู้ใช้รายใหญ่จากรัสเซีย ได้มีการเจรจาขอนำเข้าจากสหรัฐฯ นอร์เวย์ และอาเซอร์ไบจัน โดยรวมกันคิดเป็นสัดส่วนราว 60% ของปริมาณก๊าซที่ยุโรปนำเข้าจากรัสเซีย ก็ไม่เพียงพอเช่นกัน จึงทำให้ยุโรปต้องหาแหล่งอื่นต่อไป
สถานการณ์เหล่านี้ ล้วนสร้างความวิตกกังวลอย่างหนักแก่รัฐบาลทั่วโลก เพราะกำลังเห็นปัญหาความขาดแคลนพลังงานและราคาที่ขยับสูงขึ้น หากปัญหาพอกพูนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ คาดว่าหลายประเทศอาจจำเป็นต้องใช้วิธีจำกัดปริมาณการใช้พลังงาน และการปันส่วนการใช้พลังงานในกลุ่มประชากรภายในประเทศ
วิกฤติสงครามยูเครนกับการคว่ำบาตรรัสเซีย ไม่ได้สร้างความตึงเครียดทางด้านพลังงานเท่านั้น ในกลุ่มอาหารคนและอาหารสัตว์ ก็ได้รับผลกระทบจากราคาอาหารแพงอย่างมากด้วย ปัจจุบัน รัสเซียและยูเครน มีฐานะเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีอันดับ 1 และ อันดับ 5 ของโลกตามลำดับ โดยทั้งสองประเทศรวมกันคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 29% ของปริมาณการค้าข้าวสาลีในตลาดโลก
ก่อนหน้าสงครามยูเครนกับรัสเซีย ปริมาณข้าวสาลีก็ไม่ค่อยเพียงพอกับความต้องการในตลาดโลกอยู่แล้ว เนื่องจากภูมิอากาศแปรปรวน ผลผลิตเสียหาย ประกอบกับปริมาณความต้องการเพิ่มมาก เพราะการฟื้นตัวจากโควิดในภูมิภาคต่างๆ ทำให้เกิดปัญหาราคาข้าวสาลีตึงตัว โดยราคาพุ่งขึ้นเหนือระดับเฉลี่ย 5 ปี (2017-2021) อยู่ประมาณ 49% แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์รัสเซียบุกยูเครน ราคาข้าวสาลีในวันนั้นทะยานทันทีอีก 30% ก่อนที่จะปรับลดลงบ้างในเวลาต่อมา
ธนาคารชั้นนำเนเธอร์แลนด์ Rabobank พยากรณ์ว่าวิกฤติสงครามที่ยืดเยื้อและมรสุมคว่ำบาตรเศรษฐกิจ จะผลักดันให้ราคาข้าวสาลีมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงอีกราว 1 ใน 3 จากราคาเฉลี่ยช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ นอกจากนี้ สงครามยังพลอยทำให้ราคาสินค้าเกษตรกลุ่มอื่นๆ ขยับแพงขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากรัสเซียและยูเครน ล้วนเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ในสินค้าธัญพืชหลากหลายและพืชเมล็ดน้ำมัน เช่น ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโพด ถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน เป็นต้น อีกทั้ง ยังเป็นแหล่งผลิตส่วนประกอบสำคัญสำหรับการผลิตปุ๋ยของโลก
ก่อนวิกฤติยูเครนเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ องค์การสหประชาชาติด้านอาหารและการเกษตร ได้ออกรายงานเตือนว่า ดัชนีราคาอาหารโลกสูงมาก และจะทำให้ประชากรโลกราว 800 ล้านคน ต้องเผชิญกับความสั่นคลอนทางอาหาร อีกทั้งราคาอาหารที่แพงสุดในรอบทศวรรษ ได้ส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อโลกรุนแรง โดยมีอัตราเฉลี่ยราว 7% เมื่อต้นปี 2022 ดังนั้น สงครามยูเครนและการคว่ำบาตรรัสเซีย จะยิ่งกดดันให้ราคาพลังงานและอาหารแพงขึ้น และผลักดันให้เงินเฟ้อโลกพุ่งอีก 2-3%
สถานการณ์สู้รบในยูเครนเป็นวงกว้าง ได้สร้างความเสียหายแก่พื้นที่ทางการเกษตรของยูเครนอย่างไม่ต้องสงสัย พืชที่เพาะปลูกในช่วงฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ ต่างได้รับผลกระทบทั่วหน้า เช่น ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโพด และดอกทานตะวัน ฯลฯ
อีกทั้งเกษตรกรและแรงงานในภาคการเกษตร ก็อพยพหนีภัยสงครามกันเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ภาคการเกษตรของยูเครนแทบจะเป็นอัมพาตโดยสิ้นเชิง ดังนั้น ผลผลิตเหล่านี้ ย่อมออกสู่ตลาดโลกไม่เพียงพอในอนาคตอันใกล้ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาปรับสูงขึ้น แม้ว่าจะมีแหล่งผลิตจากที่อื่นป้อนตลาด แต่คงมีปริมาณจำกัดเมื่อเทียบกับปริมาณการบริโภคปกติ
นอกจากนี้ ผลผลิตปัจจุบัน ก็ได้รับความเสียหาย จากระบบการขนส่งทางเรือหยุดชะงัก เพราะภัยสงครามและมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย ทำให้ยูเครนและรัสเซีย ไม่สามารถส่งออกสินค้าเกษตรให้ลูกค้าสำคัญได้เหมือนเคย เช่น ประเทศย่านแอฟริกาเหนือ ตะวันออกกลาง และเอเชียบางส่วน อนึ่ง แม้ว่าจะมีความพยายามเปลี่ยนเส้นทางขนส่งโดยอ้อมไปทางบก แต่ก็ใช้เวลานานมากและไม่ค่อยได้ผลเท่าที่ควร
เป็นที่น่าสังเกตว่า ความขัดแย้งครั้งนี้ กำลังสร้างความเสียหายแก่ภาคการเกษตรในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก เนื่องจากการขาดแคลนปุ๋ย และราคาปุ๋ยที่แพงมาก ทั้งนี้ รัสเซียเป็นแหล่งผลิตสำคัญของแร่โปแตซ ที่ใช้ในการผลิตปุ๋ยป้อนสู่ตลาดโลก ความจริงราคาปุ๋ยได้ขยับสูงขึ้นเป็นลำดับอยู่แล้วในรอบปีที่ผ่านมา ตามประเภทของผลิตภัณฑ์ปุ๋ย แต่การเกิดสงครามและการคว่ำบาตรรัสเซีย ยิ่งทำให้การผลิตและการส่งออกปุ๋ยไปยังตลาดโลกติดขัดไปหมด
โดยส่งผลกระทบไปยังภาคเกษตรกรรมของประเทศต่างๆ ทั่วโลก จนทำให้ปริมาณผลผลิตทางการเกษตรน้อยลงกว่าปกติ ผลักดันให้ราคาสินค้าเกษตรแพงขึ้นไปหมด ทั้งอาหารคนและอาหารสัตว์ สร้างความโกลาหลด้านความมั่นคงทางอาหารโลก
วิกฤติสงครามยูเครนกับรัสเซียครั้งนี้ ควรยุติโดยเร็วด้วยการเจรจาประนีประนอมกันอย่างสันติ จะได้ลดความเสียหายทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ การใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย ก็ควรมีการทบทวนไตร่ตรองจากสหรัฐฯและชาติพันธมิตรอย่างรอบคอบที่สุด เนื่องจากผลกระทบที่กำลังเกิดขึ้นได้สร้างความเดือดร้อนและส่งผลด้านลบแก่ประเทศอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะประชากรโลกที่ต้องเผชิญวิกฤติด้านอาหารอยู่แล้ว