ห้องเม่าปีกเหล็ก

3 ตลาดคาร์บอนเครดิต กับ 3 บทบาท

โดย GREEN WAY
เผยแพร่ :
641 views

3 ตลาดคาร์บอนเครดิต

กับ 3 บทบาท

.

ตลาดคาร์บอนเครดิต คือ ตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตเพื่อนำไปชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับองค์กรที่ไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ด้วยตนเอง ตลาดคาร์บอนเครดิตสามารถแบ่งออกได้ 3 ประเภท ได้แก่ 1. ตลาดภาคบังคับและสมัครใจ (Mandatory and Voluntary) 2.ตลาดจัดสรรและทดแทน (Allocation and Offset) และ 3.ตลาดสากลและภูมิภาค (International and Regional Markets)

.

โดยประเภทแรก ตลาดภาคบังคับจะถูกควบคุมด้วยกฎหมาย หรือเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกภาคบังคับที่มีผลผูกพันตามกฎหมาย ขณะที่ตลาดภาคสมัครใจไม่มีการบังคับทางกฎหมาย เกิดจากการบริหารงานด้านสภาพอากาศของผู้ประกอบการและองค์กรโดยสมัครใจ

.

ถัดมาประเภทที่ 2 ตลาดจัดสรร คือ ตลาดที่ซื้อขายปริมาณการปล่อยก๊าซที่ได้รับจัดสรรมาโดยภาครัฐให้กับอุตสาหกรรม ในขณะที่ตลาดทดแทนจะเกี่ยวข้องกับบริษัทหรือโครงการที่มีโอกาสในการลงทุนเพื่อที่จะทดแทนปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตน และประเภทที่ 3 ตลาดสากล คือ ตลาดที่ซื้อขายคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศ ขณะที่ตลาดภูมิภาคจะจำกัดอยู่ในประเทศหรือเขตภูมิภาค

ตลาดคาร์บอนในประเทศไทยถูกจัดเป็นตลาดประเภทภาคสมัครใจ ตลาดทดแทน และตลาดภูมิภาค กล่าวคือ องค์กรต่าง ๆ มีการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยความสมัครใจ ภาครัฐยังไม่มีการจัดสรรปริมาณการปล่อยก๊าซให้แก่ธุรกิจต่าง ๆ การซื้อขายคาร์บอนเครดิตจำกัดเฉพาะในประเทศผ่านโครงการลดก๊าซเรือนกระจกตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER)

.

คาร์บอนเครดิตมีราคาเท่าไหร่

การประเมินมูลค่าของคาร์บอนเครดิตมีหลายวิธี เช่น การเคลื่อนไหวของตลาด (market dynamics) และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการหรือการส่งมอบโครงการ ซึ่งราคาของคาร์บอนเครดิตนั้น จะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเภท ขนาด อุปสงค์ อุปทาน และปัจจัยอื่น ๆ ของโครงการ

.

ราคาของคาร์บอนเครดิตโลกในปี 2565 อยู่ระหว่าง 40 – 80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อเมตริกตันของคาร์บอนไดออกไซค์เทียบเท่า (tCO2e) ซึ่งสูงขึ้นจาก 12.70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อ tCO2e ในปี 2564 จากรายงานของ High-Level Commission on Carbon Prices ระบุว่าราคาของคาร์บอนเครดิตคาดว่าจะปรับขึ้นเป็น 50 – 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อ tCO2e ภายในปี 2573 ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากสนธิสัญญาปารีส (Paris Agreement) ขององค์การสหประชาชาติที่ได้กำหนดเป้าหมายในการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกเฉลี่ยอยู่ที่ 2 องศาเซลเซียส เมื่อเปรียบเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม แต่เป้าหมายในอุดมคติ คือ 1.5 องศาเซลเซียส

.

หากต้องการซื้อคาร์บอนเครดิต ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

ปัจจัยที่สำคัญที่ควรพิจารณาเมื่อซื้อคาร์บอนเครดิต ประการแรก คือ ประเภทของโครงการ ประกอบด้วย 1.โครงการหลีกเลี่ยง (Avoidance Project) คือ โครงการหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น โครงการพลังงานหมุนเวียนเพื่อทดแทนการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล 2.โครงการถอดถอน (Removal Project) คือ โครงการกำจัดก๊าซเรือนกระจกไปจากชั้นบรรยากาศและจัดเก็บก๊าซอย่างถาวร ซึ่งมาจากการใช้เทคโนโลยีและวิธีทางธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น การดูดก๊าซและจัดเก็บโดยตรง (Carbon Capture and Storage) และการปลูกต้นไม้ ตามลำดับ ประการที่ 2 โครงการนั้นได้รับการรับรองจากมาตรฐานระดับสากลหรือไม่ เช่น Gold Standard และ Verified Carbon Standard (VCS)

.

คาร์บอนเครดิตและเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศถือเป็นวาระที่สำคัญและเร่งด่วน โดยเฉพาะในปี 2558 ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกกว่า 200 ประเทศได้ลงนามร่วมกันในสนธิสัญญาปารีส (Paris Agreement) เพื่อรับรองเป้าหมายในการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกเฉลี่ย 2 องศาเซลเซียส เมื่อเปรียบเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม และในอุดมคติ คือ 1.5 องศาเซลเซียส โดยการที่จะบรรลุเป้า 1.5 องศาเซลเซียสได้จะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 50 จากปริมาณในปัจจุบัน เพื่อบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2573 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 ซึ่งส่งผลให้หลาย ๆ บริษัทตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาสภาพอากาศ และกำหนดเป้าหมาย Net Zero เพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า จาก 500 บริษัท ในปี 2562 เป็น 2,000 กว่าบริษัท ในปี 2565

.

อย่างไรก็ตาม พบว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีอุปสรรคบางประการ เช่น บางอุตสาหกรรมไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซบางตัวได้ เทคโนโลยีในการลดการปล่อยก๊าซมีต้นทุนสูง การที่จะบรรลุเป้าหมาย Net Zero ของโลกได้นั้น บริษัทต่าง ๆ ต้องอาศัยความร่วมมือจากประเทศต่าง ๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้มากที่สุด และจำเป็นต้องควบคุมและขจัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกออกไปจากชั้นบรรยากาศให้อยู่ในระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกติดลบ

.

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา การซื้อขายคาร์บอนเครดิตเป็นวิธีที่นิยมมากที่สุดที่อุตสาหกรรมต่าง ๆ ใช้ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่ไม่สามารถกำจัดออกไปได้ อีกทั้ง ความพยายามในการลดคาร์บอนจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกส่งผลให้ตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจมีการเติบโตขึ้นอย่างมาก โดย McKinsey & Company ประมาณการณ์ว่าการเติบโตของความต้องการคาร์บอนเครดิตของโลกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1.5 – 2 กิกะตันของคาร์บอนไดออกไซด์ (GtCO2) ภายในปี 2573 และเพิ่มขึ้นเป็น 7 – 13 GtCO2 ภายในปี 2593 และคาดว่าในปี 2573 ขนาดตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจมีมูลค่าประมาณ 5 – 30 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นอย่างน้อย และอาจสูงเกินกว่า 50 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

.

แนวโน้มของตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ การประชุม COP27 หรือ การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change Conference of the Parties หรือ UNFCCC COP) ครั้งที่ 27 ที่ประเทศอียิปต์ พบว่า การหารือของประเทศสมาชิกในเรื่องมาตรฐานและกฎเกณฑ์ด้านการค้าคาร์บอนเครดิตในตลาดภาคสมัครใจนั้น ยังคงมีความคลุมเครือและไม่สามารถหาข้อสรุปได้ เนื่องจากยังไม่มีกฎหมายการเทรดคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศ

.

อย่างไรก็ตาม ตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจเริ่มมีความซับซ้อนและมีพลวัตมากขึ้น ในขณะที่ความต้องการคาร์บอนเครดิตคาดว่าจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากความต้องการที่บรรลุเป้าหมายขององค์กรทางด้าน Carbon Neutrality และ Net Zero ส่งผลให้ราคาคาร์บอนเครดิตปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก และคาดว่าจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต จากการสำรวจโดย Taskforce on Scaling Voluntary Carbon Markets หรือ TSVC พบว่า ปริมาณและราคาคาร์บอนเครดิตที่ซื้อขายกัน คาดว่าจะก้าวกระโดดเป็น 3.6 GtCO2 และ 54 เหรียญสหรัฐฯ ต่อ tCO2e ภายในปี 2593 ตามลำดับ

.

แนวโน้มตลาดคาร์บอนเครดิตในไทย

ในประเทศไทยนั้น องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก หรือ อบก. (Thailand Greenhouse Gas Management Organization หรือ TGO) ได้พัฒนาระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Trading System หรือ Thailand V-ETS) พัฒนาขึ้นเพื่อส่งเสริมการดำเนินงานด้านการลดก๊าซเรือนกระจกภายใต้ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจของประเทศไทย[5] โดยล่าสุดประเทศไทยได้เปิดตัวตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิต (FTIX) บริหารงานโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (Federation of Thai Industries หรือ FTI) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้บริษัทเอกชนและหน่วยงานของรัฐมีการซื้อขายคาร์บอนเครดิต และติดตามการปล่อยก๊าซของตนผ่านระบบออนไลน์

.

สำหรับแนวโน้มตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจของประเทศไทย คาดว่าจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่า มูลค่าการซื้อขายคาร์บอนเครดิตเพิ่มขึ้นจาก 850,000 บาท ณ ช่วงตลาดเริ่มเทรดในปี 2559 มาเป็น 129 ล้านบาทในปี 2565 และมีปริมาณการซื้อขาย 1.19 ล้านบาท ต่อ tCO2e ณ ราคาเฉลี่ย 108.22 บาทต่อตัน คิดเป็นการเพิ่มขึ้นของมูลค่าและปริมาณการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในปี 2565 เท่ากับ 13 และ 4 เท่า ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปี 2564 การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนี้ สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มธุรกิจให้ความสำคัญกับการทดแทนการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และโอกาสในการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในตลาดที่เติบโตมากขึ้น

.

บทสรุป

การชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนโดยการใช้คาร์บอนเครดิตสามารถทำได้ง่าย และครอบคลุมธุรกิจทุกประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจตามกรอบแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งมีเป้าหมายที่ต้องการลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ คาร์บอนเครดิตจึงเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ที่จะช่วยสนับสนุนให้บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะกองทุน เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

 

 


GREEN WAY