ห้องเม่าปีกเหล็ก

กูรู VI ชี้ช่องเพิ่มพอร์ตหุ้นต่างประเทศ มองรีเทิร์นหุ้นไทยเริ่มจำกัด

โดย Fin-trading
เผยแพร่ :
68 views

 

“ดร.นิเวศน์ เหมวชิวรากร” กูรูนักลงทุนสไตล์ Value Investor ให้สัมภาษณ์กับ Money Channel ถึงมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ เขามองเรื่อง ธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นดอกเบี้ย เป็นการยืนยันแนวโน้มระยะยาวว่าทิศทางดอกเบี้ยกลับมาเป็นขาขึ้น ซึ่งตลาดหุ้นไทยถือเป็นตลาดเกิดใหม่  เงินทุนต่างชาติหรือฟันด์โฟลว์จึงยังมีโอกาสไหลออกไปหาผลตอบแทนที่ดีกว่า
 
 
โดยที่ผ่านมาในช่วง 2-3 ปี พบว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนของไทยเติบโตในทิศทางชะลอตัว แม้ว่าปีที่แล้ว กำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเพิ่มขึ้นมาถึง 9 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นเพราะการได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น ทำให้ดัชนีหุ้นไทยขึ้นมาได้ถึง 20% 
 
 
แต่ในปีนี้ ดร.นิเวศน์ มองว่าเป็นเรื่องยากที่ตลาดหุ้นไทยจะทำผลงานได้ดีเช่นเดิม เพราะราคาน้ำมันมีทิศทางทรงตัว ทำให้กำไรโดยรวมจึงเติบโตได้ไม่น่าสนใจนัก สวนทางกับภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาครอบๆ ไทย ที่มีอัตราการเติบโตที่มากกว่า
 
นอกจากนั้น การที่โครงสร้างประชากรไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงเข้ามาเป็นปัจจัยเพิ่มเติมที่ฉุดให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ช้า  ภาพใหญ่ในระยะยาวจึงเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวัง  
 
 
 
 
กูรู VI ท่านนี้บอกว่า ในมุมมองของนักลงทุนระยะยาว การปรับกลยุทธ์ถือเป็นสิ่งที่สำคัญ ขณะการเลือกหุ้นลงทุนในไทย แม้ว่าจะมีของดีราคาถูกอยู่บ้าง แต่ก็เหลือจำนวนไม่มาก
 
โดยส่วนตัวจึงได้แบ่งพอร์ตลงทุนออกมา 10% เพื่อกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตโดยรวมมีผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว เพราะถ้าลงทุนแต่ในไทย ในปีนี้อาจจะได้ผลตอบแทนในระดับ 5-6%
 
 
ดร.นิเวศน์ เตือนว่าการที่จะออกไปลงทุนในต่างประเทศ จะต้องคำนึงถึงความเสี่ยง เช่น ค่าเงิน และกฎระเบียบต่างๆ ซึ่งเขาย้ำว่าการวางกลยุทธ์เป็นสิ่งสำคัญมาก
 
 
"การลงทุนในต่างประเทศก็ถือเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ แต่ถ้าคิดว่าการลงทุนเป็นอาชีพ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีและมั่นคงในระยะยาวก็ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ซึ่งตัวผมเองก็พูดในฐานะนักลงทุนระยะยาว... อย่างเมื่อก่อน วอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ลงทุนแค่ในสหรัฐฯ แต่วันนี้เค้าก็ออกไปลงทุนในประเทศอื่นๆ แล้ว เพราะเล็งเห็นถึงโอกาสการสร้างผลตอบแทนในอนาคต"
 
 
นักลงทุนอาจมีคำถามต่อไปว่า แล้วถ้าจะหาช่องทางออกไปสร้างผลตอบแทนในตลาดหุ้นต่างประเทศ จะต้องทำอย่างไร?
 

 
“ประวิทย์ เตชะมหาลาภ” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ บล.เอเซีย พลัส ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันนักลงทุนหันมาการกระจายความเสี่ยง หันไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศมากขึ้น โดยทางบริษัทฯ เน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ ที่การเคาะซื้อขายแต่ละครั้งจะต้องมีจำนวน 6 แสนบาทขึ้นไป และมีค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 0.50% ซึ่งเป็นการส่งคำสั่งซื้อขายผ่านมาร์เก็ตติ้ง แม้ว่าจะแพงกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมที่ 0.35% แต่ด้วยบริการของบริษัทฯ จะเน้นไปที่คุณภาพการให้บริการ 
 
 
ทาง ASP ปัจจุบันเปิดซื้อขายตลาดหุ้นต่างประเทศกว่า 20 แห่งทั่วโลก ซึ่งเป็นตลาดที่พัฒนาแล้ว อาทิ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชียที่พัฒนาแล้ว ได้แก่ ฮ่องกง และญี่ปุ่น เป็นต้น 
 
 
สำหรับการลดความเสี่ยงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน บริษัทฯ ยังให้บริการทำสัญญาแก่ลูกค้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงอัตราเเลกเปลี่ยน (FX Hedging) ซึ่งเรียกว่ามีความปลอดภัย 100% ยกตัวอย่างหากต้องการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ 3 เดือน ก็ให้ลูกค้าทำสัญญาอัตราแลกเปลี่ยนไว้เลย ทำให้ผลกำไรหรือขาดทุนในช่วง 3 เดือนนั้น ก็ขึ้นอยู่ผลตอบแทนการขึ้นลงของราคาหุ้นในตลาด โดยตัวสินค้าหลักๆ จะเน้นไปที่หุ้น และหุ้นกู้อนุพันธ์ (Structured Notes) 
 
 
ส่วนระบบการซื้อขาย เป็นการทำร่วมกับพันธมิตรที่เป็นโบรกเกอร์ระดับโลกที่ใช้คำสั่งซื้อขาย หลังจากนั้นสินทรัพย์ก็จะนำไปเก็บที่ธนาคารขนาดใหญ่ 1 ใน 4 ของสหรัฐฯ ทำให้มีความปลอดภัยการเก็บรักษาสินทรัพย์สูงมาก
 
นอกจากนั้น ยังมีทีมนักวิเคราะห์ที่เชี่ยวชาญการลงทุนในตลาดประเทศพัฒนาแล้วทั้งต่างชาติและคนไทย รวมถึงมีพันธมิตรที่ทำบทวิจัยในหุ้นรายตัวในต่างประเทศเพิ่มเติมอีกด้วย
 
 
ด้าน “สุทธิสิทธิ์ แจ่มดี” รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ธุรกิจหลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่าการซื้อขายหุ้นในต่างประเทศเริ่มเป็นที่สนใจนักลงทุนมากขึ้น ซึ่งทางบริษัทฯ เปิดเทรดหุ้นต่างประเทศ ผ่านระบบ KS Offshore Investment โดยมีเงื่อนไขในการเปิดบัญชีดังกล่าวลูกค้าจะต้องมีเงินในบัญชีขั้นต่ำ 500,000 บาท ซึ่งลูกค้าสามารถเทรดผ่านระบบออนไลน์ในมือถือได้ด้วยตนเองเหมือนกับลงทุนในหุ้นไทย
 
โดยครอบคลุม 40 ตลาดหุ้นทั่วโลกทั้งในยุโรป สหรัฐฯ และเอเชีย มีค่าธรรมเนียมซื้อขายอยู่ที่ 0.20% ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนก็จะให้ราคาพิเศษในรูปแบบของราคาที่ธนาคารต่อธนาคารซื้อขายกัน ไม่ใช่ราคาแลกเงินของบุคคลธรรมดา 
 
 
 
นอกจากนั้น หากนักลงทุนสนใจจะมีพนักงานให้คำแนะนำก่อนเพื่อปิดความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ผ่านการทำ FX Hedging หรือผ่านตลาด TFEX ส่วนบทวิจัยก็มีให้เลือกหลากหลาย แม้กระทั่งการวิเคราะห์หุ้นเป็นรายตัวในต่างประเทศด้วย
 
 
"ตลาดหุ้นไทยไซด์เวย์มา 2-3 ปีนักลงทุนจึงเริ่มหันมาให้ความสนใจลงทุนต่างประเทศเยอะขึ้น ซึ่งเราก็มีเลือกลงทุนถึง 40 ประเทศ แต่แนะนำนักลงทุนอย่าเพิ่งซื้อขายออนไลน์ด้วยตัวเองในช่วงแรก ควรต้องผ่านคำแนะนำของผู้ดูแลพอร์ต เพื่อป้องกันความเสี่ยงเรื่องต่างๆ อาทิ ค่าเงิน ภาษี หรือข้อมูลในหุ้นรายตัวที่เป็นธุรกิจที่ยังไม่คุ้นเคย"
 
 
“ธนัท วงษ์ชูแก้ว” รองกรรมการผู้จัดการ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) บอกว่าปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายหุ้นต่างประเทศระบบออนไลน์ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนในเร็วๆนี้ ซึ่งลูกค้ารายย่อยก็หันมาสนใจมากขึ้น ล่าสุด มีบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศในระดับ 1-2 พันบัญชี แต่มีการเคลื่อนไหวอยู่ราวๆ 20% โดยเชื่อว่าในอนาคตจะมีมากขึ้น 
 
 
โบรกเกอร์รายนี้ ได้เปิดให้ซื้อขายหุ้นใน 5 ตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐฯ ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม และมีค่าธรรมเนียมซื้อขายเฉลี่ย 0.35% 
 
 
ในมุมมองส่วนตัว คุณธนัทเชื่อว่าตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพมากที่สุด ได้แก่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่รับกระแสเงินทุนไหลเข้าต่อเนื่อง และตลาดหุ้นเวียดนาม ที่เศรษฐกิจคล้ายกับไทยเมื่อ 10 ปีก่อน ทำให้มูลค่าหุ้นไม่แพง และมีโอกาสเติบโตในระยะยาว
 
 
 
 
ขอบคุณแหล่งข่าว : Business&Finance, Money Channel

 


Fin-trading