ข้าราชการ นับเป็นหนึ่งในอาชีพที่ได้รับความนิยมและอยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน ซึ่งในอดีตการปฏิบัติงานของข้าราชการเป็นไปในลักษณะที่รับใช้พระมหากษัตริย์หรือพระเจ้าแผ่นดิน คือเป็น “ข้าของ แผ่นดิน” จึงนับเป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีผู้คนนับหน้าถือตา ถึงขนาดมีคำกล่าวว่า “สิบพ่อค้าเลี้ยงไม่เท่าหนึ่งพญาเลี้ยง”
หากแต่ในปัจจุบัน ค่านิยมดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ด้วยสังคมโลกที่เปิดกว้าง ทำให้ค่านิยมในการทำงานของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนแปลงไป มองหาความก้าวหน้า ความท้าทาย และตัวเลขของรายได้เป็นสำคัญ ต่างกับงานราชการที่ยังติดภาพลักษณ์ล้าสมัย เช้าชามเย็นชาม เชื่องช้า และรายได้ต่ำ แม้จะมีสวัสดิการที่ดี แต่นั่นอาจไม่มีเสน่ห์เพียงพอที่จะดึงดูดบุคคลผู้มีความรู้ ความสามารถ มาทำหน้าที่ข้าราชการได้ ดังจะเห็นได้จากเหตุผลของคนส่วนใหญ่ที่มาสมัครงานราชการว่าเป็นเพียงตำแหน่งงานที่ดูว่า “มั่นคง” มากกว่า “ศรัทธา” และ “รัก” ที่จะทำ
ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงควรเร่งเสริมสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของข้าราชการ ให้ดูมีความทันสมัย เป็นอาชีพที่มีเกียรติในฐานะบุคลากรที่มีหน้าที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ ตลอดจนชี้ให้เห็นถึงข้อดีในการรับราชการ ที่มีนอกเหนือกว่าสวัสดิการ เช่น การได้รับทุนจากภาครัฐ เพื่อพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างความมั่นคงในระยะยาว เป็นต้น สิ่งเหล่านี้แม้จะเพิ่มอัตราการแข่งขัน แต่เราจะได้คนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ มาเข้าร่วมการแข่งขันเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการที่มีคุณภาพได้ต่อไป
ค่านิยมการ สอบราชการ สอบทหาร สอบตำรวจ สอบ ก.พ. ของข้าราชการสมัยรัตนโกสินทร์ถึงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นั้น ประเทศไทยติดต่อกับต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นและในสมัย รัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้มีการปฏิรูประบบบริหาร ราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามแบบของประเทศทางตะวันตก ทรงตั้งโรงเรียนมหาดเล็ก และต่อมาในสมัยรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โรงเรียนมหาดเล็กได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นโรงเรียนข้าราชการพลเรือน สำหรับเหตุผลของการตั้งโรงเรียนดังกล่าวนั้นสืบเนื่องมาจากประเทศชาติต้องการคนดี คนมีปัญญา และมีฝีมือเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศอย่างมาก พระมหากษัตริย์ยังทรงสนับสนุนให้ประชาชนได้ศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมทั้งสนับสนุนให้มีการรับข้าราชการเพิ่มขึ้นอีกด้วย
คำกล่าวที่ว่า “สิบพ่อค้าเลี้ยงไม่เท่าหนึ่งพญาเลี้ยง” จึงได้เกิดขึ้น โดย “พญา" หมายถึง เจ้าแผ่นดิน ผู้เป็นใหญ่ ผู้เป็นหัวหน้า ส่วน “พญาเลี้ยง” หมายถึงพระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้ชุบเลี้ยงอุปถัมภ์ค้ำจุนข้าราชการเพื่อมุ่งหวังให้คนเป็นคนดี เพื่อเป็นกำลังของประเทศชาติ มิใช่เลี้ยงเพื่อประโยชน์ส่วนตัว แต่เพื่อสาธารณประโยชน์ มิใช่เลี้ยงเพื่อให้กินอาหาร กินเงิน กินทอง แต่หากได้เสพคุณธรรม ความดี มีความรู้เพื่อเป็นพลเมืองดี คือเป็นกำลังอันดีสำหรับปกป้องประเทศชาติ เป็นการเลี้ยงในลักษณะบุพการี ส่วนผู้รับเลี้ยงหรือผู้ถูกเลี้ยงก็ได้เป็นกำลังงานของผู้บังคับบัญชาและมี หน้าที่บำรุงรักษาป้องกันประเทศชาติ สำหรับ “พ่อค้าเลี้ยง” นั้นมิใช่เป็นไปเพื่อสาธารณประโยชน์หรือประโยชน์ของประเทศชาติโดยส่วนรวม แต่เป็นประโยชน์ส่วนตนส่วนพวกโดยจำเพาะเท่านั้น
ยังมีคำกล่าวที่มีความหมายทำนองเดียวกับ "สิบพ่อค้าเลี้ยงไม่เท่าหนึ่งพญาเลี้ยง" นั่นก็คือ “สิบพ่อค้าไม่เท่าหนึ่งพญาเลี้ยง” ซึ่งมีความหมายว่าในอดีตผู้เฒ่าผู้แก่ไม่อวยพรให้ลูกหลานเป็น พ่อค้ามั่งมี เพราะมีความเชื่อว่าพ่อค้าที่ร่ำรวยยังไม่มีเกียรติเท่า “พญา” ซึ่งอาจเขียนว่า “พระยา” ก็ได้ โดย “พระยา” หมายถึง ข้าราชการ ประกอบกับข้าราชการในสมัยโบราณนั้นมิใช่เป็นผู้ที่ยากจนแต่ประการใด และผู้ที่เป็นข้าราชการจะได้รับพระราชทานทรัพย์สินสิ่งของต่างๆ และมีรายได้จากตำแหน่งของตนเองด้วย การเป็นข้าราชการจึงมีเกียรติ มีความร่ำรวยในทรัพย์สินเงินทองและข้าทาสบริวาร สังคมยังให้ความเชื่อถือและยอมรับสูง มีโอกาสได้รับอิสสริยาภรณ์และเหรียญตราง่ายกว่าอาชีพอื่น ดังนั้น คำกล่าวที่ว่า "สิบ พ่อค้าไม่เท่าหนึ่งพญาเลี้ยง" นั้น ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงค่านิยมของคนไทยในอดีตที่นิยมมีอาชีพรับราชการเพราะหวังในเกียรติยศชื่อเสียงมากกว่าเงินทองที่ได้จากการมีอาชีพพ่อค้าเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงฐานะของข้าราชการในสมัยนั้นด้วยว่าไม่ยากจน
ถึงแม้ว่าอาชีพรับราชการจะได้รับการนิยมยกย่องอย่างกว้างขวางสืบต่อกันมา ในเวลาเดียวกัน ก็มีข้าราชการบางส่วนประพฤติมิชอบ ใช้อำนาจหน้าที่ทางราชการในทางมิชอบเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน เหตุผลส่วนหนึ่งเนื่องมาจากในสมัยโบราณข้าราชการไม่ได้รับเงินเดือนเป็นค่าตอบแทน ข้าราชการทุกคนจึงต้องทำมาหากินเอง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่สามารถใช้ข้าราชการชั้น ผู้น้อยในบังคับบัญชาให้ทำกิจการส่วนตัว หรือให้หารายได้จากประชาชนผู้มาติดต่อราชการ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าประทับตรา และค่าส่วนลดจากการเก็บส่วยอากร โดยถือว่าเป็นรายได้จากตำแหน่ง ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า “การกินตำแหน่ง” ครั้นถึงรัชกาลที่ 5 ข้าราชการทุกคนได้รับเงินเดือน การหากินจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการก็ยังคงมีอยู่ เพราะถือว่าเป็นประเพณีปฏิบัติติดต่อกันมานาน แต่จะต้องไม่เกินขอบเขตที่ได้รับอนุญาต มิฉะนั้นจะมีความผิดฐานฉ้อราษฎร์บังหลวง และต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ข้าราชการทุกคนรับราชการเป็นอาชีพโดยได้รับเงินเดือนเพียงพอกับการครองอาชีพเพื่อป้องกันมิให้แสวงหาผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่โดยตรงหรือทางอ้อมเพื่อประโยชน์แก่ตนเองหรือญาติมิตร
ดังนั้น ค่านิยมหลักของข้าราชการในช่วงตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ถึงสมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จึงเป็น “ค่านิยมพระยา” อันเป็นค่านิยมที่มีวิวัฒนาการมาจาก "ค่านิยมกษัตริย์" ค่านิยมพระยาเป็นค่านิยมหลักที่ปรากฎอย่างชัดเจนในสมัยอยุธยาและเด่นชัดมากในช่วงรัชกาลที่ 5 มีลักษณะเด่น คือ นิยมยกย่องข้าราชการ หรืออาชีพรับราชการ มุ่งปฏิบัติหน้าที่โดยคำนึงถึงยศฐาบรรดาศักดิ์และเกียรติยศชื่อเสียงเป็นหลักมากกว่าทรัพย์สินเงินทอง อันเป็นลักษณะของ "เกียรติสำคัญกว่าเงิน" พร้อมกันนั้น ได้มีค่านิยมย่อยเกิดขึ้นด้วย เช่น ค่านิยมของการใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ